ปัจจุบันต้นทุนการผลิตสินค้าการเกษตรของไทยสูงขึ้น กระทบต่อความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งต้นทุนด้านพลังงานถือเป็นอีกหนึ่งต้นทุนที่สำคัญ ประกอบกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตรอยู่ในอัตราที่สูงรองจากภาคพลังงาน อาจเป็นสาเหตุทำให้ถูกกีดกันการค้าจากนานาประเทศในอนาคต การติดตั้งระบบโซลาเซลล์พร้อมอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าเพื่อใช้ในครัวเรือนและเพื่อการเกษตร จึงเป็นทางออกที่จะช่วยเหลือเกษตรกรได้อีกทางหนึ่ง
นายรังษี ไผ่สอาด นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ทางสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย และสมาคมการเกษตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย ได้เดินไปรัฐสภาเพื่อยื่นหนังสือกับ นายศักดินัย นุ่มหนู ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การเกษตรและสหกรณ์ เพื่อศึกษาโครงการการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์พร้อมอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าให้เกษตรกรฟรี และคิดค่าไฟฟ้าในอัตราต่ำกว่าราคาปกติ 30%
“สมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทยได้รับการแต่งตั้งจาก บริษัท แคปปิตอลทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด (CTG) จากประเทศนิวซีแลนด์ให้มาทำการสำรวจความต้องการจากสาธารณชนเพื่อให้บริการติดตั้งไฟฟ้าโซล่าเชลให้ฟรี โดยทางบริษัท ให้จัดทำโพลสำรวจความต้องการของเกษตรกรทั่วประเทศ เมื่อผลสำรวจเป็นอย่างไร ทางบริษัทจะปฏิบัติตามผลโพลสำรวจและติดต่อบริษัทผู้ขายแผงและอุปกรณ์โซลาร์เซลล์ พร้อมอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าที่มีผู้สนับสนุนสูงสุด
ทั้งนี้เพื่อติดตั้งระบบโซลาเซลล์พร้อมอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าให้เกษตรกร จะช่วยแก้ปัญหาระบบชลประทานได้ทั่วถึง จากปัจจุบันที่ระบบชลประทานในประเทศไทยมีเพียงแค่ประมาณ 23% ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ตลอดทั้งปี ช่วยเพิ่มปริมาณผลผลิต เพิ่มรายได้และยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทยให้ดีขึ้น ตลอดจนการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศของเกษตรกรไทยสร้างครัวไทยสู่ครัวโลกตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อสนองต่อนโยบายของรัฐบาลและลดก๊าซเรือนกระจกด้วยการใช้พลังงานทดแทน แทนการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
นายรังษี กล่าวว่า บริษัท แคปปิตอล ทรัสต์ กรุ๊ป จำกัด (CTG) เป็นบริษัทจากประเทศนิวซีแลนด์ ได้เป็นผู้ออก Digital Bond ภายใต้กฎหมายประเทศนิวซีแลนด์เพื่อระดมทุนจากกองทุนและนักลงทุนสถาบันในต่างประเทศ มูลค่าการเสนอขาย 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์พร้อมอุปกรณ์สำรองไฟฟ้าให้กับเกษตรกร โดยมอบหมายให้บริษัท ซีแอลเอ็มวี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทผู้บริหารโครงการในประเทศไทยซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อครัวเรือนเกษตรกรที่สามารถเข้าร่วมโครงการ จำนวน 6.9 ล้านครัวเรือน ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตรว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ โดยให้ช่วยศึกษาและตรวจสอบให้เกษตรกร ถ้าเกิดได้จริงเป็นผลดีกับภาคเกษตรที่จะช่วยลดต้นทุนได้
อย่างไรก็ดีในวันนี้ทางสมาคมได้ไปยื่นหนังสือที่กระทรวงการคลัง เพื่อให้แก้ไขกฎระเบียบเกี่ยวกับการผลิตและการจำหน่ายสุราสามทับ(แอลกอฮอล์) เพื่อปลดล็อกให้สามารถจำหน่ายเอทานอลสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ ภายในประเทศได้ เช่น อุตสาหกรรมยาสมุนไพร เครื่องสำอาง เคมี อาหาร บรรจุภัณฑ์ ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย จะได้ไม่ขัดแย้งต่อแผนการส่งเสริมการใช้เอทานอลสู่ธุรกิจใหม่ได้อย่างเสรี เพื่อทำให้เกษตรกรที่มีอาชีพปลูกอ้อยและมันสำปะหลังจำนวน 1.2 ล้านกว่าครัวเรือนมีอาชีพที่มั่นคง มีรายได้มากขึ้น โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินภาษีจำนวนมาอุดหนุนอีกต่อไป