จับตา “สหกรณ์โคนมไทยมิลค์” ลุ้น ผลอุทธรณ์นมโรงเรียน วันนี้

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่  16 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมานายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานการประชุมคณะทำงานตรวจสอบปริมาณน้ำนมโคผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting  พร้อมด้วยนายสัตวแพทย์ประภาส ภิญโญชีพ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์  (มิสเตอร์โคนม) ได้มีนโยบายในการสำรวจปริมาณน้ำนมโคทั่วประเทศให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อนำมาใช้ในการบริหารจัดการและจัดทำแผนปฏิบัติการพัฒนาอาชีพการเลี้ยงโคนมของประเทศ

ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานโครงการอาหารเสริมนมโรงเรียน ปีการศึกษา 2566 เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2556 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนในการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ซึ่งโครงการนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสามารถจำหน่ายผลผลิตน้ำนมโค  ล่าสุดผลการตรวจสอบเบื้องต้นนั้นพบว่าสหกรณ์โคนมไทยมิล์ค จำกัด เหลือน้ำนมดิบ 25 ตันต่อวัน ได้ทำเรื่องอุทธรณ์เข้าไปเพื่อให้กรมปศุสัตว์ได้พิจารณาใหม่

นายเชวงศักดิ์ สงวนวงศ์วิจิตร ประธานกรรมการ สหกรณ์โคนมไทยมิลค์ จำกัด เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เป็นเรื่องความไม่เข้าใจกันมากกว่า และมาตรฐานการตรวจสอบไม่เหมือนกันทุกที่ แต่ว่ารายละเอียดไม่รู้ว่าจะออกมาแบบใด จึงได้แจ้งอุทธรณ์ไปแล้ว ซึ่งอยากให้ตรวจมาตรฐานเดียวกัน พร้อมกับทำหนังสือไปเพื่อขอให้ตรวจสอบตามที่ยืนยันน้ำนมดิบที่สหกรณ์มีจริงที่รับจากเกษตรกร 85 ตันต่อวัน

“ตอนแรกเรายังไม่อยากยื่นหนังสือไปด้วยซ้ำ อยากให้รอประกาศก่อนว่าสหกรณ์มีน้ำนมดิบที่เสนอเข้าโครงการนมโรงเรียนเท่าไร อยากดูว่ากรมปศุสัตว์จะใช้ตัวเลขไหนกันแน่ ต้องรอผลการประชุมวันนี้ ”

นายเชวงศักดิ์ กล่าวอีกว่า ข้อเสนอในการตรวจสอบปริมาณน้ำนมดิบถือเป็นหน้าที่อยู่แล้ว ไม่ได้ไปว่าอะไร ซึ่งทางกรมจะพิจารณาว่ามีการรับน้ำนมดิบจริงหรือไม่ ซื้อจากที่ไหนบ้าง ยอดรวมได้เท่าไร แล้วการที่นำมาส่งโควตานมโรงเรียน ก็มีการตรวจสอบว่าส่งนมครบหรือไม่ มีความสามารถบริหารนมที่เหลือจากโครงการนมโรงเรียนแล้วโดยไม่ได้เดือดร้อนและไม่ปฎิเสธการรับน้ำนมดิบจากเกษตรกร จ่ายเงินให้เกษตรกรครบ  ก็มองว่าทางกรมน่าจะตรวจสอบแบบนี้ดีกว่า

“ช่วงปิดเทอมสหกรณ์ส่วนใหญ่จะเอานำน้ำนมดิบสต๊อกไว้ พอเปิดเทอมก็ปล่อยน้ำนมดิบออกมา แล้วก็ผลิตน้อยลงเพราะสต๊อกน้ำนมดิบไว้แล้ว ก็จะผลิตเฉพาะที่จำเป็น จะไปผลิตตามโควตาทุกวันเป็นไปไม่ได้หรอกอยู่ที่การบริหารน้ำนมดิบว่าช่วงไหนควรจะสต๊อกหรือผลิต”

นายเชวงศักดิ์  กล่าวด้วยว่า โครงการนมโรงเรียน ปี 2566 ข้อปฎิบัติ หลักเกณฑ์ยิบย่อยเกินไปอ่านแล้วไม่เข้าใจ ต้องดูแค่ว่าน้ำนมดิบมีจริงหรือไม่ รับจากใคร ส่งครบตามโควตาหรือไม่ เด็กได้ดื่มนมครบหรือไม่ และหน่วยจัดซื้อ ซื้อตามประกาศหรือไม่ ตอนนี้เรียกว่า “ผิดฝาผิดตัว” ไปหมด เพราะหน่วยจัดซื้อก็จัดซื้อตามใจฉัน “มิลค์บอร์ด –ครม.” ประกาศขึ้นราคา ก็ไม่มีความหมาย ไม่ยอมจ่ายปรับราคาตามน้ำนมดิบที่ขึ้น ก็จะซื้อตามสัญญาที่ทำไว้เดิมส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้

โดยเฉพาะปัญหาในกรุงเทพ ไม่ยอมปรับราคา อ้างกฎหมายใหญ่กว่ามติ ครม. ไม่ยึดถือ สารพัดปัญหาทั้งอยู่ประเทศเดียวกัน ภายใต้บริหารรัฐบาลเดียวกัน ต้นทุนที่ปรับแล้วก็ควรที่จะปรับให้อยู่ได้ด้วยกันทั้งหมด พอมาปรับแบบนี้ราคาต้นทุนต้นทาง ปลายทางไม่ปรับก็ขาดทุน แล้วทางอนุฯ นมก็ปรับให้แต่ราคาน้ำนม แต่ว่าค่าใช้จ่าย ไม่ว่าค่าแรงงาน ค่าไฟฟ้า ค่าขนส่ง ที่ควรปรับขึ้นไม่ปรับให้เลย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่จะปรับราคาน้ำนมดิบเพียงอย่างเดียว อย่างนี้จะอยู่ได้อย่างไร

นายเชวงศักดิ์  ระบุว่า หากผลการอุทธรณ์ไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่ก็มั่นใจว่ากรมปศุสัตว์จะประกาศน้ำนมดิบให้อยู่ได้ ไม่ถึงกับต้องทำให้ปิดโรงงาน ถ้าไม่คุ้มก็ไม่สามารถเดินเครื่องได้ แต่ขอยืนยันว่าน้ำนมดิบมีจริง แต่ก็ไม่รู้ว่าในวันนั้นตรวจกันอย่างไร อย่างไรก็ดี โครงการนมโรงเรียน หน่วยงานที่ดูแลก็มองว่าผิดตัว เป็นหน่วยงานที่ไม่เข้าใจ ทำให้การทำงานผิดไปหมด ซึ่งความจริงโครงการนี้เดิมที อ.ส.ค. เป็นคนดูแลร่วมกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ แต่ตอนนี้โอนไปที่กรมปศุสัตว์ หน่วยงานเดียวทั้งหมดแล้ว มองว่าควรจะมีหน่วยงานเพิ่ม เพื่อช่วยกันดู

อนึ่ง มติ ครม. นมโรงเรียน งบ 14,000 ล้านบาท มีการแบ่งโควตานมโรงเรียนตามพื้นที่ปศุสัตว์ เป็น 5 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่ม 1 ได้แก่ จ.อยุธยา นนทบุรี ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สระบุรี ลพบุรี และปทุมธานี ในคณะดังกล่าวนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีเป็นประธานอนุกรรมการ และปศุสัตว์จังหวัดสระบุรีเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ

กลุ่ม 2 (เขต 2 และ 3 ) ประกอบด้วย จ.นครนายก ปราจีนบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา จันทบุรี สมุทรปราการ สระแก้วระยอง ชลบุรี ชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี อำนาจเจริญ และสุรินทร์ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานอนุกรรมการ และปศุสัตว์จังหวัดนครราชสีมาเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ

กลุ่ม 3 (เขต 4) ประกอบด้วย จ.อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย กาฬสินธุ์  เลย นครพนม มหาสารคาม หนองบัวลำภู สกลนคร มุกดาหาร บึงกาฬ ร้อยเอ็ด และขอนแก่น ซึ่งคณะนี้จะมีผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นเป็นประธานอนุกรรมการ และปศุสัตว์จังหวัดขอนแก่นเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ
 

กลุ่มที่ 4 (เขต 5,6) พื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แม่ฮ่องสอน แพร่ พะเยา น่าน สุโขทัย กำแพงเพชร อุทัยธานี พิษณุโลก ตาก อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เป็นประธานอนุกรรมการ และปศุสัตว์จังหวัดเชียงใหม เป็นอนุกรรมการและเลขานุการ

และกลุ่มที่ 5 (เขต 7,8,9 ) ประกอบด้วย จ.กาญจนบุรี เพชรบุรี นครปฐม ราชบุรี สมุทรสาคร ประจวบคีรีขันธ์ สมุทรสงคราม สุพรรณบุรี ราชบุรี กระบี่ นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ชุมพร สุราษฎร์ธานี ตรัง พัทลุง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรีเป็นประธานอนุกรรมการ และปศุสัตว์จังหวัดราชบุรีเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ