เปิดพิมพ์เขียว ดันไทย Aviation Hub จากสนามบินสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ

10 ธ.ค. 2568 | 18:50 น.

การผลักดันไทยสู่ฮับการบินแห่งภูมิภาค (Aviation Hub) ที่จะสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ เกิดการจ้างงานในทุกภาคส่วน ตั้งแต่แรงงานภาคพื้น ผู้ผลิตอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโลจิสติกส์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเดินอย่างไร ทั้ง กระทรวงคมนาคม ทอท. การบินไทย CAAT ต่างล้วนมีแผนขับเคลื่อนในเรื่องนี้

คมนาคม ชู 3 กลยุทธ ย้ำไทยต้องมี MRO

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มองว่าการผลักดันไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค (Aviation Hub) ไม่ใช่เรื่องของสนามบินหรือสายการบินเท่านั้น แต่คือ “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจใหม่” ที่จะสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ เกิดการจ้างงานในทุกภาคส่วน ตั้งแต่แรงงานภาคพื้น ผู้ผลิตอาหาร ไปจนถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโลจิสติกส์

อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะมีภูมิศาสตร์ที่ดีที่สุดในอาเซียน แต่ยอมรับว่าปัจจุบันประเทศสิงคโปร์มีผู้โดยสารแวะพักมากกว่ากรุงเทพฯ และฮ่องกงก็โดดเด่นเรื่องการขนถ่ายสินค้าทางอากาศมากกว่าไทย นี่คือโอกาสที่ไทยต้องเร่งดึงดูดกลับมา จากสัญญาณบวกที่สำคัญ คือ ประเทศไทยได้รับการรับรองและปรับเรตติ้งด้านความปลอดภัยจากองค์กรการบินระหว่างประเทศ ทั้ง FAA และ ICAO ในระดับที่ดีขึ้น

ขณะเดียวกันการบินไทย ก็สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด เริ่มมีผลกำไร และสั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้งฝูงใหม่ถึง 80 ลำ ทั้งขณะนี้ประเทศไทยมีผู้โดยสารทางอากาศกว่า 140 ล้านคนต่อปี ฟื้นตัวแล้วกว่า 85% ของช่วงก่อนโควิด สะท้อนศักยภาพของไทยที่จะก้าวขึ้นเป็น “ประตูการบินแห่งอาเซียน”

พิพัฒน์ รัชกิจประการ

โดยกระทรวงคมนาคมได้กำหนดแนวทางพัฒนาอย่างครบวงจรใน 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่

1.โครงสร้างพื้นฐาน โดยจะเพิ่มขีดความสามารถสนามบินทั่วประเทศ เร่งพัฒนาสนามบินหลัก เช่น สุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ และภูเก็ต เพื่อรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันที่รองรับผู้โดยสารกว่า 140 ล้านคนต่อปี และฟื้นตัวแล้วกว่า 85% ของช่วงก่อนโควิด เป้าหมายเร่งด่วน คือ ผลักดันให้สนามบินสุวรรณภูมิขึ้นเป็นอันดับที่ 1 ในเอเชีย และสนามบินดอนเมืองขึ้นสู่ท็อปไฟว์ พร้อมปรับภาพลักษณ์สนามบินทั่วประเทศให้ “สะอาด–สว่าง–สวยงาม” และนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้

รวมถึงการวางแผนให้จังหวัดศักยภาพอื่น ๆ เช่น กระบี่ พังงา และอีสานตอนบน เป็น “สนามบินรอง” เชื่อมการบินสู่ภูมิภาค ลดความแออัดของสนามบินกรุงเทพฯ นอกจากนี้ยังมีการหารือกับอีอีซีเพื่อเชื่อมต่อรถไฟสามสนามบินให้สะดวกยิ่งขึ้น

2. บริการ ที่จะเน้นเพิ่มความสะดวกทุกมิติ เชื่อมต่อเศรษฐกิจท้องถิ่น มอบนโยบายให้ท่าอากาศยานทุกแห่งพัฒนาบริการให้สะดวก ปลอดภัย และไร้รอยต่อ ตั้งแต่ระบบจราจรทางอากาศไปจนถึงภาคพื้น พร้อมส่งเสริมเส้นทางบินใหม่เชื่อมเมืองท่องเที่ยวไทยกับทั่วโลก

“การบินต้องกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น” โดยให้แต่ละจังหวัดใช้จุดแข็งของตนเอง เช่น การผลิตอาหารคุณภาพสูงขึ้นเครื่อง (In-flight catering) ผลิตโดยผู้ประกอบการท้องถิ่น สะท้อนแนวคิด “ครัวไทยสู่ครัวโลก” ให้ผู้โดยสารทั่วโลกได้สัมผัสเอกลักษณ์ไทยตั้งแต่บนฟ้า นอกจากนี้ยังต้องปรับปรุงคุณภาพอาหารที่โหลดขึ้นเครื่องให้สดใหม่ รวมถึงอาหารฮาลาล

ในด้านบริการภาคพื้น (Ground Handling) ได้มอบหมายให้ AOT เพิ่มผู้ประกอบการจาก 2 รายเป็น 3 ราย เพื่อเพิ่มทางเลือก ลดปัญหาความล่าช้า และดูแลแรงงานภาคพื้นไม่ให้ทำงานเกินศักยภาพ ซึ่งจะยกระดับคุณภาพบริการและลดความเหนื่อยล้าของพนักงานโดยตรง

3. ด้านความปลอดภัย ซึ่งไทยต้องรักษามาตรฐานโลก และเร่งพัฒนา MRO ประเทศไทยได้รับการรับรองมาตรฐานสูงสุดจาก ICAO และ FAA ซึ่งต้องรักษาไว้อย่างต่อเนื่อง พร้อมผลักดันให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ทำหน้าที่ทั้งกำกับ ดูแล และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน

อุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย

อีกหนึ่งนโยบายสำคัญคือการพัฒนาอู่ซ่อมเครื่องบิน (MRO) ภายในประเทศ เพราะหากไทยต้องการเป็น Aviation Hub ได้สมบูรณ์ 100% จะต้องสามารถให้บริการซ่อมบำรุงได้เอง ไม่ต้องส่งเครื่องบินไปซ่อมต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้มหาศาล และเพิ่มโอกาสการจ้างงานคนไทยด้านเทคนิค

แนวทางทั้งหมดนี้คือการขับเคลื่อน 3Ps ได้แก่ ผู้โดยสาร (Passenger) เครื่องบิน (Plane) และสินค้า (Payloads) ให้เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ หากทุกภาคส่วนร่วมมือกัน ประเทศไทยจะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคได้แน่นอน

CAAT หนุนโดรนขนส่ง ดันไทยฮับคาร์โก้

พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT กล่าวว่า การขับเคลื่อนการก้าวของสู่ Aviation Hub ของไทย ในส่วนของ CAAT มีเรื่องหลักๆที่ผมตั้งใจจะผลักดันให้สำเร็จ  เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินอย่างแท้จริง ได้แก่ “การนำโดรน” มาใช้ในการขนส่ง โดยเน้นการใช้โดรนในการส่งสินค้า ซึ่งล่าสุดมีการสาธิตการใช้โดรนส่งของ ของ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ NT ที่จะพัฒนาเป็นเชิงพาณิชย์ต่อไป รวมถึงการให้ความสำคัญ กับการใช้โดรนในการขนส่งผู้โดยสาร

สำหรับการขับเคลื่อนตลาด เพื่อมุ่งสู่การเป็นฮับการบินนั้น CAAT ต้อง ทำตลาดร่วมกับประเทศอื่น ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของ คาร์โก้ (การขนส่งสินค้า) โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้ไทยเป็นฮับในลักษณะของ “จุดกระจายสินค้า” เพื่อให้เกิดการดำเนินงานแบบ “สองขา” คือ มีสินค้าเข้ามา แล้วออกไป

พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร

อีกหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ คือ การทำให้สนามบินมีความพร้อม โดยต้องสร้างความมั่นใจให้แก่สายการบินว่า เมื่อมาใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิแล้ว จะสามารถดูแลเครื่องบินของพวกเขาให้สามารถบินต่อไปที่อื่นได้ ดังนั้นการผลักดัน ให้เกิด MRO (การซ่อมบำรุงอากาศยาน) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ CAAT ยังให้ความสำคัญกับการตรวจสอบขององค์กรด้านการบินระดับโลก อาทิ องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยว นักธุรกิจ และนักลงทุนด้วย ซึ่ง CAAT ได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องดำเนินการให้ได้มาตรฐาน และ ผ่านการตรวจโดยไม่มีข้อบกพร่องที่สำคัญ ๆ รวมถึงจะต้องทำให้ได้ คะแนนดีที่สุด

รวมไปถึง CAAT ยังจะเตรียมจะทบทวนข้อกำหนดอายุเครื่องบินในการนำเครื่องบินเข้ามาประกอบธุรกิจ จากปัจจุบันที่กำหนดไว้ว่าต้องมีอายุไม่เกิน 16 ปี ปรับมาพิจารณาจากมาตรฐานความปลอดภัยหรือความพร้อมในการบิน (Airworthiness) และประวัติการซ่อมบำรุงของเครื่องบินลำนั้นๆซึ่งจะช่วยให้สายการบินสามารถจัดหาเครื่องบินมาดำเนินกิจการได้ง่ายขึ้น

โดยเฉพาะในช่วงหลังโควิด-19 ที่ธุรกิจการบินกลับมาเติบโต และในการสั่งซื้อเครื่องบินใหม่ต้องรอคิวเป็นเวลานาน อีกทั้งในหลายประเทศ เช่น อเมริกา เยอรมัน ญี่ปุ่น เกาหลี และสิงคโปร์ ก็ไม่ได้กำหนดอายุเครื่องบินในการนำเข้ามาใช้เช่นกัน

การบินไทยเสริมฝูงบินเชื่อมโลก

นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าแม้แนวคิดการสร้าง Aviation Hub ของไทยจะอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติและวิสัยทัศน์ของการบินไทยมานานกว่า 10 ปี แต่ในอดีตขาดกลไกการขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง ทำให้แผนไม่สามารถเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติได้จริง

วันนี้เราไม่ได้รอรัฐอีกต่อไป โดยการบินไทยได้เริ่มขับเคลื่อนด้วยตนเอง และได้เชิญพันธมิตรหลัก อย่าง ท่าอากาศยานไทย (AOT), CAAT และวิทยุการบิน มาร่วมหารือ เพื่อหาแนวทางสร้างศักยภาพการเชื่อมต่อของประเทศ เนื่องจากเชื่อว่า “ไม่มีใครจะมาทำ Hub ให้เราได้ นอกจากสายการบินเจ้าบ้านเอง"

ชาย เอี่ยมศิริ

หัวใจสำคัญของการเป็นศูนย์กลางการบินคือศักยภาพในการเชื่อมต่อ (Connectivity Network) ปัจจุบันการบินไทยมีฝูงบินจำนวน 77 ลำ ซึ่งลดลงจากประมาณ 103 ลำก่อนปี 2562 เนื่องจากกระบวนการฟื้นฟูกิจการ อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มจำนวนเครื่องบินเป็น 150 ลำ ภายในปี 2576 เพื่อรองรับเครือข่ายเส้นทางบินได้อย่างทั่วถึง ทั้งในระยะสั้น การบินไทยจะเพิ่มเครื่องบินลำตัวแคบอีก 17 ลำภายในปีหน้า เพื่อขยายเส้นทางในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้

ขณะเดียวกันบริษัทกำลังเตรียมจัดหาเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนเส้นทางบินระยะไกล ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างศักยภาพความเป็นฮับให้กรุงเทพฯ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทวีป

อีกทั้งเพื่อเสริมฐานรายได้ระยะยาวและสนับสนุนการเป็น Aviation Hub การบินไทยได้เดินหน้าในธุรกิจต่อยอด อย่าง ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บริษัทได้ยื่นข้อเสนอการลงทุนศูนย์ MRO ที่อู่ตะเภา มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อเป็นฐานหลักในการซ่อมบำรุงระดับลึก (Heavy Maintenance) ควบคู่ไปกับการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในศูนย์ซ่อมเครื่องยนต์ที่ดอนเมือง เพื่อรองรับเครื่องบินรุ่นใหม่อย่าง A321 Neo และเปิดรับงานซ่อมจากสายการบินอื่นในภูมิภาค

รวมถึงพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการคลังสินค้าให้รวดเร็ว หากสามารถย่นระยะเวลาการขนส่งลงได้ครึ่งหนึ่ง จะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลจิสติกส์การบินได้ทันที และ Aviation Hub คือโอกาส Win-Win ของทุกฝ่ายและช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศอย่างยั่งยืน

ทอท.ชูธง South Terminal สนามบินสุวรรณภูมิ

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) AOT หรือ ทอท. กล่าวว่าในส่วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AOT ได้มีการปรับปรุงแผนแม่บทการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิ ใหม่พร้อมสำหรับการเป็น Hub ที่จะพัฒนาพื้นที่ธุรกิจและสนับสนุนกิจการที่เกี่ยวข้องกับสนามบิน แนวคิดการบริหารปัจจุบันมี 4 ด้าน คือ เพิ่มรายได้, ลดรายจ่าย, Smart Investment และบริหารจัดการมูลค่าบริษัท

ปวีณา จริยฐิติพงศ์

เนื่องจากปัจจุบัน Capacity ของสนามบิน 60 ล้านคนถือว่าแน่นมาก และความต้องการของผู้โดยสารเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้จำเป็นต้องทำส่วนต่อขยาย AOT จึงจำเป็นต้องแก้แผน Investment ด้วยการแบ่งการก่อสร้าง South Terminal ออกมาเป็นเฟส เพื่อให้การก่อสร้างรวดเร็วขึ้น และทำให้เงินลงทุนมีความคุ้มค่า รวมถึงพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง อาทิ การซ่อมบำรุงเครื่องบินและคลังสินค้า Ground Service, Training Center การพัฒนา Logistic Park/Center สำหรับธุรกิจขนส่ง อาจมีการขอ Free Zone เพื่อเพิ่มรายได้และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจด้านการบิน

อีกทั้ง AOT กำลังสร้าง Brand DNA ที่ให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายภายใต้ความปลอดภัย การลงทุนใหม่จะใช้ Customer (Passenger) Experience เป็นหลัก โดยผู้โดยสารจะต้องรู้สึก Seamless Theme สำคัญในปี 2568 และปีถัดไปคือ World Class Hospitality ภายใต้องค์ประกอบ 4 อย่าง ได้แก่ Passenger (World Class Hospitality), Security ,Service (บริการที่ดีต่อทุกคน ทั้งผู้เดินทาง, คนมาส่ง, คนมารับ) Our People (การบริการซึ่งกันและกันของบุคลากร AOT/Outsource/Airline)

นอกจากนี้ การTransform ภายในองค์กรยังมุ่งเน้นที่ ‘คน’ และปัญหาการสื่อสาร AOT จะต้องปรับโครงสร้างการดำเนินงานและการบริหารงานทั้งหมด เพื่อทำตัวเองให้เป็น รัฐวิสาหกิจที่ทันสมัยขึ้น ทั้งในเรื่องของการบริหารงาน การติดต่อสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยี

ที่มา : การเสวนา “Skyconomy: Thailand’s Runways to Aviation Hub จากสนามบินสู่ศูนย์กลางเศรษฐกิจ