วันนี้ (29 พฤศจิกายน 2568) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ต้อนรับเที่ยวบินปฐมฤกษ์ สายการบิน Air Arabia เส้นทางบินตรง ชาร์จาห์-กระบี่ ณ ท่าอากาศยานกระบี่ ซึ่งออกเดินทางจากเมืองชาร์จาห์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 เวลา 22.45 น. และเดินทางถึงจังหวัดกระบี่ประเทศไทย ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2568 เวลา 08.10 น.
ในโอกาสนี้ได้รับเกียรติจาก นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายอังกูร ศีลาเทวากูล ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ผู้บริหารททท. และผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เข้าร่วมต้อนรับ
ทั้งนี้เส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ขยายจากชาร์จาห์-กรุงเทพมหานครและชาร์จาห์-ภูเก็ต จะช่วยเพิ่มการรองรับผู้โดยสารได้กว่า 5,220 ที่นั่งต่อเดือน สะท้อนถึงความสำเร็จของกลยุทธ์ Airline Focus ของ ททท. เพื่อกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพจากตะวันออกกลาง
พร้อมช่วยกระจายตัวนักท่องเที่ยวและรายได้ไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่นของไทย อีกทั้งยังเป็นโอกาสเชื่อมต่อตลาดยุโรปและแอฟริกาเหนือสู่ภาคใต้ของไทยได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
นายสันติ แสวงเจริญ ผู้อำนวยการภูมิภาคอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ททท. กล่าวว่า การเปิดเส้นทางบินตรงของสายการบิน Air Arabia จากรัฐชาร์จาห์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สู่จังหวัดกระบี่ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ Airline Focus ของ ททท. ที่มุ่งใช้ความร่วมมือด้านการบินเป็นกลไกหลักในการกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าสู่ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะตลาดตะวันออกกลางที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูง โดยเที่ยวบินตรง เส้นทางชาร์จาห์-กระบี่ มีกำหนดเปิดให้บริการในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ทำการบินด้วยเครื่องบินแบบ Airbus A320 และ Airbus 321 รองรับผู้โดยสาร 174-215 ที่นั่ง/เที่ยวบิน ให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน คิดเป็นจำนวน Seat Capacity เพิ่มสู่จังหวัดกระบี่กว่า 5,220 ที่นั่งต่อเดือน
เส้นทางใหม่นี้เป็นการขยายเส้นทางบินตรงจากเดิมที่มีเส้นทาง ชาร์จาห์ -กรุงเทพมหานคร และ ชาร์จาห์ – ภูเก็ต ซึ่งจะช่วยกระจายนักท่องเที่ยวและรายได้สู่เมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ ของประเทศไทย และเพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่นักท่องเที่ยวอาหรับที่ต้องการประสบการณ์แตกต่างจากเดิม
สายการบิน Air Arabia (IATA: G9) เป็นสายการบินต้นทุนต่ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ปัจจุบันให้บริการครอบคลุมกว่า 206 เส้นทางบิน เชื่อมโยงตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ เอเชีย และยุโรปเข้าด้วยกัน การเปิดเส้นทางบินตรง ชาร์จาห์–กระบี่ จึงไม่เพียงเพิ่มช่องทางเดินทางให้แก่นักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเท่านั้น
แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการเชื่อมต่อนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกลจากยุโรปและแอฟริกาเหนือให้สามารถเดินทางสู่ภาคใต้ของไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา Air Arabia มีการเพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทาง ชาร์จาห์ – กรุงเทพมหานครและ ชาร์จาห์ – ภูเก็ต เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว จากเดิมวันละ 1 เที่ยวบิน ขยายเป็นวันละ 2–3 เที่ยวบินตามฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนถึงความต้องการเดินทางมายังประเทศไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ภูมิภาคตะวันออกกลางถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวจากประเทศในกลุ่มความร่วมมืออ่าวอาหรับ หรือ Gulf Cooperation Council (GCC)
ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ คูเวต บาห์เรน และโอมาน มีรายได้ต่อหัวสูง นิยมการเดินทางเพื่อพักผ่อนเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวแบบครอบครัว และการเข้าพักในที่พักระดับหรู ซึ่งตรงกับจุดแข็งของประเทศไทยในด้านสินค้า และบริการคุณภาพ
โดยข้อมูลสถิติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่ 23 พฤศจิกายน 2568 มีนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยกว่า 728,340 คน โดยมีระยะพำนักเฉลี่ย 10 วัน และใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปประมาณ 100,000 บาท ทั้งนี้ คาดว่าภายในปี 2568 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคนี้มากกว่า 850,000 คน
การเพิ่มเที่ยวบินตรงของ Air Arabia ถือเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรองรับความต้องการเดินทางที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพเข้าสู่เมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ
ทั้งยังช่วยกระจายรายได้ไปยังผู้ประกอบการในท้องถิ่น โรงแรม ร้านอาหาร สปา บริการท่องเที่ยวฮาลาล กีฬา และกิจกรรมเชิงสุขภาพ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและการลงทุนใหม่ ๆ ในพื้นที่ ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ Value over Volume ของ ททท. ที่เน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าการเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว
ขณะเดียวกัน การขยายเส้นทางบินยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของสายการบินและนักลงทุนต่อความพร้อมของประเทศไทย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรฐานบริการ และระบบสนับสนุนการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐานสากล
สอดคล้องกับแนวทางเศรษฐกิจ BCG ที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืนและสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมเสริมสร้างภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางคุณภาพที่กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวระดับนานาชาติบนพื้นฐานของความยั่งยืน