นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่าบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA ได้ส่งมาถึง EEC โดยจะไม่ขอให้ขยายเวลาส่งมอบหนังสือให้เริ่มงาน (NTP: Notice to Proceed) เกินไปจากวันที่ 31 ก.ค.นี้
รวมถึงจะใช้สิทธิเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินโครงการล่าช้าเป็นวงเงิน 5,099 ล้านบาทด้วยนั้น ทาง UTA ไม่ได้บอกว่าจะเลิกสัญญา เพียงแต่ทางเอกชนไม่อยากให้ยืดเวลาการส่งมอบหนังสือออกไปเกินกว่าวันที่ 31 ก.ค.นี้ ซึ่งอีอีซีก็จะรายงานครม.ภายในวันที่ 29 ก.ค.นี้ และไปสู่การเจรจาสัญญาเพิ่มเติมต่อไป
ล่าสุดอีอีซีได้ขอให้ UTA พิจารณาขยายวันที่กำหนดให้เงื่อนไขสำเร็จครบถ้วน จากวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ออกไปก่อน เพื่อให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบและมอบหมายให้ผู้เกี่ยวข้องได้ดำเนินการให้บริษัท สามารถเริ่มดำเนินโครงการได้ต่อไป
ทั้งนี้อีอีซีจะเร่งรายงาน เพื่อให้ ครม.รับทราบภายในวันที่ 29 ก.ค.นี้ จะมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่
1.รับทราบ ปัญหาอุปสรรค ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายหลังการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการฯ ซึ่งกระทบความเป็นไปได้ทางการเงินของโครงการอย่างร้ายแรง มีผลให้เอกชนคู่สัญญาไม่สามารถดำเนินโครงการฯ ได้ตามสัญญาร่วมลงทุนของโครงการฯ รวมถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐ
2. มอบหมายให้ สกพอ. เจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคตามข้อเท็จจริงทั้งหมดบนพื้นฐานความสมเหตุสมผลกับเอกชนคสัญญา เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการฯ และการเกิดการลงทุนโครงการได้จริง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ให้ดำเนินการตามกระบวนการแก้ไขสัญญาร่วมประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิและกระบวนการ ในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. 2560 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) นายจุฬา กล่าวทิ้งท้าย
ทั้งนี้ที่ผ่านมา อีอีซี ได้เลื่อนการออก NTP แล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งแรก วันที่ 30 มิ.ย.ครั้งที่สอง 15 ก.ค. และล่าสุด 31 ก.ค.นี้
UTA เรียกค่าเสียหายจากการดำเนินโครงการพัฒสนามบินอู่ตะเภา ล่าช้าวงเงิน 5,099,965,442 บาท แบ่งเป็น
1.ค่าใช้จ่ายจากการพัฒนาโครงการ
2. ค่าเสียหายจากการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของโครงการฯตามสัญญาร่วมลงทุน 1,139,489,591 บาท
นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยใ็นฐานะผู้ถือหุ้น บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด หรือ UTA โดยระบุว่า ขณะนี้ UTA ได้เสนอไปยังอีอีซี เพื่อขอปรับแผนการพัฒนาโครงการท่าอากาศยานอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โดยเฉพาะในส่วนของท่าอากาศยานอู่ตะเภา ด้วยเนื่องขณะนี้สถานการณ์การเดินทางของผู้โดยสารเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ไฮสปีด)
ทำให้ UTA เสนอขอลดสเกลการลงทุนในระยะที่ 1 รองรับ 3 ล้านคน โดยการปรับลดสเกลการลงทุนนั้น เปลี่ยนไปจากแผนเดิมการพัฒนาระยะที่ 1 จะต้องรองรับผู้โดยสาร 12 ล้านคนต่อปี และหลังจากสถานการณ์โควิด ทำให้ UTA ปรับลดสเกลการลงทุนระยะที่ 1 รองรับผู้โดยสาร 8 ล้านคนต่อปีก่อน
ล่าสุดเมื่อปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งขณะนี้โครงการต้องเดินหน้าโดยไม่มีไฮสปีดเทรน จึงจะทยอยก่อสร้างระยะที่ 1 รองรับผู้โดยสารเพียง 3 ล้านคนต่อปีก่อน จากนั้นหากจำนวนผู้โดยสารเติบโตขึ้นก็จะทยอยลงทุนให้รองรับได้ที่ 6 ล้านคนต่อปี และ 12 ล้านคนต่อปีตามลำดับ
ขณะนี้ได้ส่งแผนนี้ไปยังอีอีซีแล้ว เหลือการพูดคุยในรายละเอียด ส่วนการจะเริ่มตอกเสาเข็มเมื่อไหร่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาเรื่องต่างๆ ให้ได้ข้อสรุปด้วย เช่น การเจรจาเรื่องสิทธิประโยชน์การลงทุนในโครงการเมืองการบิน ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของอีอีซี หากจบเราก็พร้อมก่อสร้างได้ทันที เพราะไม่รอไฮสปีดแล้ว และที่ผ่านมา UTA ได้ลงทุนในโครงการนี้ไปแล้วกว่า 4 พันล้านบาท แต่ผ่านมา 5 ปีแล้วก็ยังไม่ได้เข้าไปก่อสร้าง
อนึ่งโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มูลค่า 290,000 ล้านบาท ที่มีกองทัพเรือ (ทร.) เป็นเจ้าของโครงการ และมี บจ.อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น (UTA) นิติบุคคลที่มีบจ. การบินกรุงเทพ (บางกอกแอร์เวย์ส) บมจ. บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (BTS), และบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STECON) เป็นบริษัทคู่สัญญา