นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงผลกระทบด้านท่องเที่ยวจากน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 21-24 พ.ย. 2568 ว่า พบว่ามี 4 จังหวัดที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเฉพาะน้ำท่วมหาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของสงขลา ส่งผลให้ถนนหลายเส้นทางถูกตัดขาด โรงแรมและสถานธุรกิจต่าง ๆ ถูกน้ำท่วมขังและได้รับความเสียหาย
ส่งผลให้โรงแรมที่พักในหาดใหญ่ทั้งหมดได้ประกาศปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย. เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์น้ำท่วมจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อีกทั้งในช่วงที่ผ่านมาพบว่ามีนักท่องเที่ยวประมาณ 8,000 คนติดค้างอยู่ในโรงแรมต่างๆในหาดใหญ่ ในจำนวนนี้ เป็นชาวต่างชาติ 7,300 คน โดย 90% เป็นนักท่องเที่ยวมาเลเซีย และอีก 10% เป็นนักท่องเที่ยวสิงคโปร์และอินโดนีเซีย
ทั้งยังมีนักท่องเที่ยวประมาณ 600 คนติดค้างอยู่ในสนามบินหาดใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาเพื่อท่องเที่ยว ประชุม หรือเยี่ยมญาติ เนื่องจากการเดินทางเข้า-ออกพื้นที่ได้รับผลกระทบรุนแรง
ประกอบกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งนี้ยังส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาและภาพลักษณ์การท่องเที่ยวโดยรวม โดยรัฐบาลมาเลเซีย และสถานกงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา ได้ประกาศเตือนพลเมืองให้ เลื่อนการเดินทางท่องเที่ยวมายังภาคใต้ของไทย ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ย.2568 และสื่อกระแสหลักของมาเลเซีย มีการรายงาน โดยเฉพาะกรณีที่นักท่องเที่ยวมาเลเซียติดค้าง
ทำให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมาเลเซียเกิดความวิตกกังวล และอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นในการเดินทางมายังภาคใต้โดยรวม ส่งผลกระทบเชิงจิตวิทยาต่อนักท่องเที่ยวตลาดมาเลเซีย ให้ตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นแทน หรือมีการยกเลิก/ชะลอการเดินทางออกไปก่อน
อีกทั้งยังทำให้เกิดการเสียโอกาสในการดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ เนื่องจากนักท่องเที่ยวชะลอการเดินทางไปชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวงที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูกาล
นอกจากนี้ยังมีการยกเลิกงานเปิดไฟต้นคริสต์มาส Christmas Tree Light Up Celebration ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล หาดใหญ่ และเลื่อนกิจกรรม THAI FIGHT พัทลุง
ททท.ยังคาดการณ์ผลกระทบการจากการชลอการเดินทางท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2568 โดยคาดว่าแนวโน้มในเดือนพ.ย. จะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ไปเที่ยวสงขลา 243,150 คน-ครั้ง ติดลบ 6.9 % และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 1,920 ล้านบาท หดตัว 8.5 %
ส่งผลให้แนวโน้มภาคใต้ มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 2,490,370 คน-ครั้ง เติบโตเล็กน้อยอยู่ที่ 0.92 % และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 16,140 ล้านบาท ติดลบ 1.82 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567
ขณะที่แนวโน้มในเดือนธ.ค.2568 คาดว่ามีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 306,400 คน-ครั้ง หดตัวประมาณ 2% และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 2,410 ล้านบาท หดตัวประมาณ 4 % ส่งผลให้แนวโน้มภาคใต้ มีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 2,792,200 คน-ครั้ง เติบโต 1.28 % และมีรายได้ทางการท่องเที่ยว 17,680 ล้านบาท หดตัว 1.6 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2567
สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตลาดนักท่องเที่ยวมาเลเซียถือเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักอันดับ 1 ของไทย โดยมีสัดส่วน 14 % ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด และส่วนใหญ่กว่า 73% เดินทางเข้าไทยผ่านด่านชายแดนทางบกภาคใต้
ททท. คาดการณ์ว่าเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2568 จะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของตลาดมาเลเซียในระยะสั้น 1-2 สัปดาห์ โดยเฉพาะช่วงปลายเดือนพ.ย.-ต้นเดือนธ.ค. โดยแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้
คาดการณ์นักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยทั้งปี 2568 ประมาณ 4.60 ล้านคน ลดลง 7 % จากปี 2567
อย่างไรก็ตามทั้งนี้หากเป็นในกรณีที่ 2 จะทำให้ภาพรวมนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งปี 2568 คาดว่าจะต่ำกว่า 33 ล้านคน ลดลง 8 % จากปี 2567
นอกจากนี้ททท.อยู่ระหว่างการเตรียมแผนในการเยียวผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ และส่งเสริมตลาดจัดกิจกรรมในช่วงปลายปี อาทิ เทศกาล Countdown หาดใหญ่ เทศกาลตรุษจีน และอีเวนต์อื่นๆ อื่นๆ รวมถึงชงมาตรการส่งเสริมการขายหรือ มาตรการฟื้นฟูด้านการเงิน
สำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบหนัก ที่จะช่วยกระตุ้นนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ และช่วยเหลือผู้ประกอบการและฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่
ด้านดร.สิทธิพงษ์ สิทธิภัทรประภา นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ สงขลา กล่าวว่าปัจจุบันโรงแรมในหาดใหญ่กว่า 300 แห่ง รวมจำนวนห้องพักกว่า 3 หมื่นห้อง ต้องปิดกิจการจากผลกระทบน้ำท่วม เหลือที่เปิดให้บริการได้ราว 10 แห่งเท่านั้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องไฟฟ้า
ในระยะสั้นมีการประเมินความเสียหายเบื้องต้นไว้ประมาณ ร่วม 100 ล้านบาท ความเสียหายนี้เกิดจากการที่ทุกอย่างถูกยกเลิกหมด และโรงแรมไม่มีเหตุผลที่จะไม่คืนเงินให้ลูกค้าที่ยกเลิกการจอง ขณะที่ร้านนวดและร้านอาหารซึ่งเป็นห่วงโซ่ของระบบก็ต้องหยุดชะงักไปทั้งหมดด้วย
โดยในช่วงแรกมีรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวติดค้างที่ได้รับข้อมูลเข้ามาประมาณ 7,000-8,000 คน แต่เมื่อรวมกับผู้ที่อยู่นอกบริเวณหรือยังไม่ได้แจ้งข้อมูลเข้ามา คาดการณ์ว่าอาจมีนักท่องเที่ยวรวมเป็นหมื่นคน เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ (วันเสาร์-อาทิตย์) ซึ่งปกติจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก
สิ่งเร่งด่วนที่สุดคือการนำนักท่องเที่ยวออกจากพื้นที่ให้ได้ก่อน เพราะหากไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ การจะเรียกนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวมาเลเซีย ซึ่งหาดใหญ่พึ่งพาอย่างมาก ให้กลับมาเที่ยวอีกครั้งจะไม่ใช่เรื่องง่ายโดยได้ทยอยช่วยเหลือ ทำให้ปัจจุบันเหลืออยู่ประมาณ 1,000 กว่าคน แต่ก็มีปัญหาระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นมาอีก
โดยผู้ประกอบการเห็นว่าการรับมือและดูแลนักท่องเที่ยวของภาครัฐในวิกฤตนี้ "ทำได้ล้มเหลว" มีความล่าช้า ไม่ทั่วถึง และขาดศูนย์กลางในการบัญชาการ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว และสิ่งที่กังวล คือ การเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา เนื่องจากย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเป็นหลัก เพราะได้มีการยกเลิกการเดินทางทั้งหมดแล้ว
ทั้งคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะนานเกินกว่า 1 สัปดาห์ เพราะกว่าน้ำจะลด ก็ต้องมีการซ่อมแซมสถานประกอบการ และสิ่งที่กังวล คือ การเรียกความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนมา เนื่องจากย่านใจกลางเมืองหาดใหญ่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียเป็นหลัก เพราะได้มีการยกเลิกการเดินทางทั้งหมดแล้ว และในระยะยาว คาดการณ์ว่าการฟื้นฟูธุรกิจให้กลับมาเป็นปกติอาจใช้เวลาเป็นเดือน
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เปิดเผยถึงผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่หาดใหญ่และจังหวัดภาคใต้ ว่าเป็นเหตุการณ์รุนแรงสุดในรอบหลายปี และส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยว–บริการ โดยประเมินมูลค่าความเสียหายเบื้องต้น ไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายทางเศรษฐกิจราว 7,000 ล้านบาท และความเสียหายด้านทรัพย์สิน ทั้งบ้าน อาคาร รถยนต์ ฯลฯ อีกราว 3,000 ล้านบาท
หากสถานการณ์ยังท่วมต่อเนื่องอีก 5–7 วัน ตัวเลขความเสียหายอาจพุ่งสูงขึ้นพร้อมชี้ว่าน้ำท่วมครั้งนี้สะเทือนต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างสงขลา–หาดใหญ่ ซึ่งเพิ่งเติบโตโดดเด่นในปี 2567 โดยมีนักท่องเที่ยวรวมกว่า 6.6 ล้านคน และในช่วงครึ่งแรกปีนี้ทำได้แล้วกว่า 3 ล้านคน คาดว่าเดิมทั้งปี 2568 ตัวเลขอาจแตะ 7–8 ล้านคน หากไม่เกิดภัยพิบัติครั้งนี้
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนปัญหาการประสานงานของรัฐ เนื่องจาก ไม่มีศูนย์บัญชาการภัยพิบัติส่วนกลาง ทำให้การช่วยเหลือกระจัดกระจาย ไม่สามารถเข้าถึงประชาชนได้ทันเวลา แม้เวลาผ่านไป 3–4 วัน ความช่วยเหลือจากรัฐยังเดินหน้าอย่างล่าช้า ส่งผลให้ชุมชน ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ป่วยติดเตียง และผู้ประกอบการได้รับผลกระทบหนัก
ทั้งนี้ย้ำว่ารัฐควรมีแผน Crisis Management อย่างเป็นระบบ และควรจัดตั้งผู้บัญชาการเหตุการณ์เพื่อสั่งการแบบเบ็ดเสร็จ รวมทั้งเตรียมแนวทางรับมือภัยธรรมชาติที่รุนแรงและถี่ขึ้นจากภาวะ Climate Change ซึ่งกระทบหลายจังหวัด เช่น สงขลา อยุธยา รวมถึงพื้นที่ต้นน้ำที่ยังมีปริมาณน้ำสะสมจำนวนมาก