GEN 3 ‘นิธิวาสิน’ทุบโรงแรมนารายณ์สู่แบรนด์หรูโลก ขยายพอร์ตธุรกิจสู่ต่างประเทศ

11 พ.ย. 2568 | 06:17 น.
อัปเดตล่าสุด :11 พ.ย. 2568 | 06:25 น.

การทุบโรงแรมนารายณ์ ปรับโฉมใหม่ให้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ ภายใต้โครงการ “Hatai” (หทัย) ที่จะเปิดให้บริการต้นปี 2571 การพลิกโฉมโรงแรมเก่าแก่อายุกว่า 55 ปี โดยดึงแบรนด์โรงแรมระดับโลกเข้ามาบริหาร รวมถึงการเปิดไลฟ์สไตล์รีเทล ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเจน 3 ไม่ใช่เรื่องง่าย

การทุบโรงแรมนารายณ์ ปรับโฉมใหม่ให้กลายเป็นแลนด์มาร์กใหม่ ภายใต้โครงการ “Hatai” (หทัย) ที่จะเปิดให้บริการต้นปี 2571 การพลิกโฉมโรงแรมเก่าแก่อายุกว่า 55 ปี โดยดึงแบรนด์โรงแรมระดับโลกเข้ามาบริหาร

รวมถึงการเปิดไลฟ์สไตล์รีเทล ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเจน 3 ไม่ใช่เรื่องง่าย นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดใจถึงโครงการนี้ รวมถึงทิศทางขับเคลื่อนธุรกิจของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ในการขยายการลงทุนโรงแรมในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หรือ คุณต้น เล่าว่า หลังการแพร่ระบาดของโควิด เราตัดสินใจที่จะปรับโฉม พื้นที่ดั้งเดิมบนถนนสีลมครั้งใหญ่ ซึ่งก็คือ “โรงแรมนารายณ์” ให้เป็นโครงการใหม่ ใช้ชื่อว่า “Hatai” หรือ หทัย ซึ่งจะกลายเป็น Transformative Destination ของพื้นที่สีลม มูลค่าการลงทุนหลักพันล้านบาท

ประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่ง ที่จะยังคงมีเรื่องราวการออกแบบ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกดั้งเดิมของพื้นที่สีลม ควบคู่กับระบบความปลอดภัยมาตรฐานสากลสมัยใหม่ ,ไลฟ์สไตล์รีเทล และพื้นที่สาธารณะสีเขียว

โรงแรมแรกคือ “โรงแรมนารายณ์” ที่จะถูกบริหารงานโดย “เดอะ อันบาวนด์ คอลเลคชั่น บายไฮแอท” (The Unbound Collection by Hyatt) ซึ่งเป็นแบรนด์แห่งแรกในประเทศไทยของเครือไฮแอท มีห้องพัก 245 ห้อง (48 ตร.ม. ต่อห้อง โดยอาจมีการเปลี่ยนแปลงจำนวนห้องเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ) ห้องอาหาร 2 แห่ง และห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ รองรับลูกค้าได้ 1,000 คน

นที นิธิวาสิน

การเลือกใช้แบรนด์ Unbound Collection by Hyatt ช่วยให้เราสามารถใช้ชื่อ โรงแรมนารายณ์ ได้แบบเดิม ซึ่งก็ถือเป็นการรักษาความทรงจำดีๆของลูกค้าหลายรุ่นให้ยังได้รำลึกถึงช่วงเวลาดีๆทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้ อีกทั้งเป็นการดึงจุดแข็งของ Hyatt ในด้านธุรกิจจัดเลี้ยงและงานอีเวนต์เข้ามาเสริม

โรงแรมที่สอง เดิมเป็น “โรงแรมทริปเปิ้ล ทู” ก็ปรับโฉมเป็น “Six Senses” จำนวน 101 ห้อง พร้อมเดสติเนชันบาร์ ขนาดของห้องพักเริ่มต้นที่ 60 ตร.ม. จริงๆแล้ว Six Senses เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งขึ้นในประเทศไทย และหลังจากเข้ามาอยู่ในเครือ IHG ระบบการบริหารจัดการก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เราจึงได้ใช้โอกาสนี้ ในการร่วมงานกับแบรนด์ เปิดโรงแรม Six Senses แห่งแรกในกรุงเทพฯ ตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้นของการพักผ่อนในรูปแบบ “รีสอร์ทใจกลางเมือง” ที่ครบทั้งสปา เวลเนส และโปรแกรมเพื่อสุขภาพและการมีอายุยืนยาว

นอกจากนี้ภายในโครงการหทัย ยังมีพื้นที่สไลฟ์สไตล์ รีเทล ประมาณ 6,000 ตร.ม. ซึ่งจะให้บริการทั้งร้านอาหาร เวลเนส และ คอนเซ็ปต์ไดน์นิ่ง ที่นำโดยเชฟชื่อดัง ริมคลองจะมีคีออสก์ (kiosk) หรือร้านค้าแบบหมุนเวียน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ค้ารายย่อยสลับกันเข้ามาเพิ่มสีสัน

ปรับโฉมโรงแรมนารายณ์ เป็นโครงการหทัย

สร้างความมีชีวิตชีวา ดึงดูดทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ และเปิดโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น ขณะนี้กำลังเปิดรับผู้เช่า ผู้ประกอบการ แบรนด์ต่างๆที่สนใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ

ทั้งยังมีซูเปอร์มาร์เก็ต ฟู้ดคอร์ทสำหรับพนักงานออฟฟิศที่ผสมผสานระหว่างเมนูราคาย่อมเยาและเมนูสำหรับโอกาสพิเศษ ฟิตเนสเน้นให้บริการเทรนแบบตัวต่อตัว และมาร์เก็ตพลาซ่า ซึ่งจะเปลี่ยนธีมตามช่วงเวลาและเทศกาลต่างๆของปี มีที่จอดรถกว่า 500 คันภายในโครงการ และอีก 200 คันในอาคารจอดรถด้านข้าง ส่วนศาลพระนารายณ์ ก็จะยังคงเปิดให้สักการะเช่นเดิม โดยจะถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน บริเวณพื้นที่ด้านหน้าโครงการหทัย เพื่อให้ผู้คนสามารถลอยดอกไม้บูชา และงดการจุดธูป

“วิสัยทัศน์ของโครงการหทัย คือ การฟื้นฟูย่านสีลม เชื่อมต่อแลนด์มาร์กสำคัญ เช่น หอสมุดเนียลสันเฮส์ วัดแขก และตลาดสด พร้อมผลักดันให้ย่านนี้เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวจากเอเชียและตะวันออกกลาง เป้าหมายของเราคือไม่เพียงตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยว แต่เรายังต้องการสร้าง จุดหมายปลายทางให้กับชาวกรุงเทพฯ ด้วย ไลฟ์สไตล์รีเทลที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน”

โรงแรม Six Senses Bangkok

คุณต้น กล่าวว่า การตัดสินใจปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยมีการคิดและดีเบตภายในครอบครัวมานานกว่า 10 ปี ก่อนที่จะตกลงร่วมกันว่าถึงเวลาที่ต้องดำเนินการ แนวคิดหลักในการลงทุนครั้งใหญ่ คือ การอัปเกรดมูลค่า (Value) ต่อห้องพัก โดยอิงจากการวิจัยทางการตลาดพบว่า การรวมห้องพักขนาดเล็ก (จาก 3 ห้องรวมเป็น 2 ห้อง) จุดประสงค์ของการรวมห้องพัก ต้องการให้ประสบการณ์ที่ดีขึ้นแต่ราคาก็ได้ขึ้นมาด้วยตามคุณภาพ ซึ่งสามารถทำได้ในย่านสีลม

ดังนั้นโรงแรมในโครงการหทัย จึงลดจำนวนห้องพักรวมจากเดิม 477 ห้อง (ของ 2 โรงแรมเดิม เหลือเพียง 347 ห้อง) แบ่งเป็น 246 ห้องในส่วนของนารายณ์ และ 101 ห้องในส่วนของซิกซ์เซนส์ เพื่อป้องกันการเพิ่มซัพพลายในตลาดมากเกินไป และเน้นคุณภาพเป็นหลัก ขณะที่สถาปัตยกรรมของอาคารภายใน โครงการ หทัย ได้รับแรงบันดาลใจจาก “โคมลอยภาคเหนือ” ที่เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง คำอธิษฐาน และความปรารถนาดี

รวมถึงองค์ประกอบจากหน้ากากโขนและผ้าทอมือที่ถ่ายทอดออกมาในรูปทรงเรขาคณิต เพื่อให้แสงธรรมชาติเข้ามาได้ การออกแบบครั้งนี้นำโดย “Thomas Heatherwick” จาก Heatherwick Studio ลอนดอน ผู้มีผลงานระดับโลก เช่น The Vessel ในนิวยอร์ก 1000 Trees ที่เซี่ยงไฮ้ อาคาร Google ในสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร และ Coal Drops Yard ในลอนดอน

ทั้งนี้โครงการทหัย คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2570 เมื่อเปิดดำเนินการเต็มรูปแบบ จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 3-4 เท่า เมื่อเทียบกับรายได้ของโรงแรม นารายณ์ และ ทริปเปิ้ล ทู ในปี 2562

นอกจากโครงการหลักในกรุงเทพฯ แล้ว นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ยังมุ่งขยายพอร์ตโฟลิโอเพิ่มเติม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยง และคว้าโอกาสในตลาดท่องเที่ยวที่มีการฟื้นตัวที่ดี โดยแนวทางการเลือกใช้แบรนด์จะเดินตามความต้องการของลูกค้า และความเหมาะสมกับแต่ละทำเล ซึ่งนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ มีธุรกิจโรงแรมที่เจาะกลุ่มในหลายเซ็กเม้นท์ ไม่ใช่แค่เฉพาะโรงแรมหรูเท่านั้น

แต่ยังมีแบรนด์โรงแรม “หลับดี” (Lub d) แบรนด์ไลฟ์สไตล์ (Hostel Segment) ที่ให้ประสบการณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าโฮสเทลทั่วไป เน้นตลาดต่างชาติเป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วน 85-90% โดยนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เช่น ชาวยุโรปในฤดูหนาว และชาวเอเชียในฤดูร้อน ปัจจุบันมีสาขาสยาม เยาวราช สมุย ป่าตอง เกาะเต่า เสียมราฐ ประเทศกัมพูชา และมากาตี ประเทศฟิลิปปินส์

รวมถึงแบรนด์ “มาราสก้า” (Marasca) ซึ่งเป็นรีสอร์ทสไตล์ casual luxury ที่เกาะสมุย ลูกค้าหลักคือชาวยุโรปในฤดูหนาว ชาวตะวันออกกลางในฤดูฝนและฤดูร้อน โดยแบรนด์มาราสก้ายังมีแพลนจะขยายตัวไปยังจุดหมายใหม่ๆในไทยและต่างประเทศ ตอนนี้กำลังสำรวจโลเคชั่นที่น่าสนใจและเหมาะกับแบรนด์อยู่

GEN 3 ‘นิธิวาสิน’ทุบโรงแรมนารายณ์สู่แบรนด์หรูโลก ขยายพอร์ตธุรกิจสู่ต่างประเทศ

เป้าหมาย ของแบรนด์หลับดี และ มาราสก้า กำลังมองหาโอกาสในการขยายสาขาไปต่างประเทศอย่างจริงจังในโซนเอเชีย โฟกัสที่ ญี่ปุ่น เป็นอันดับแรก ตามมาด้วย ออสเตรเลีย และอาจจะรวมถึง เกาหลี การขยายตัวนี้เป็นไปตามความต้องการของตลาด เพื่อรองรับลูกค้าที่เริ่มขยับขยายการท่องเที่ยวตามกัน

อีกทั้งยังมีโรงแรมเลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาวบีช รีสอร์ต รีสอร์ทหรูสำหรับครอบครัวที่ภูเก็ต ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่บางโซน เนื่องจากอยู่ระหว่างการปรับปรุงเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น จะแล้วเสร็จสมบูรณ์ในเดือนตุลาคมปีนี้

ธุรกิจในเครือนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป

รวมถึงนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ ยังบริหารจัดการสินทรัพย์ในต่างประเทศ (Asset Management) โดยไม่จำเป็นต้องใช้แบรนด์ของตนเอง ได้แก่ Swissôtel Nankai Osaka ประเทศญี่ปุ่น บริหารจัดการโดยเชน Accor โรงแรมขนาด 600 ห้อง ตั้งอยู่บนสถานีรถไฟนัมบะ และถือเป็นโรงแรมที่มีห้องบอลรูมใหญ่ที่สุดในโอซากา รองรับคนได้รวมกว่า 2,000 คน รวมถึงเป็นเจ้าของโรงแรม และบริหารจัดการสินทรัพย์ให้กับ 25 Hours Terminus Nord ที่ปารีส และ Bankside Hotel Autograph Collection ที่ลอนดอนอีกด้วย

“เป้าหมายของเราคือการเป็นธุรกิจที่ มั่นคง ยั่งยืน และอยู่คู่กับสังคม พร้อมเติบโตอย่างมีความรับผิดชอบ เราอยู่ในยุคที่ 3 ของธุรกิจครอบครัวแล้วโดยได้พัฒนาจากการเป็นผู้ประกอบการโรงแรม ไปสู่การมีพอร์ตโฟลิโอ ที่หลากหลายเพื่อรองรับนักเดินทางทุกกลุ่ม การแข่งขันในตลาดจะมีอยู่เสมอแต่ด้วยการรีโพสิชันและการปรับตัวเราจะสามารถตอบโจทย์นักท่องเที่ยวจากประเทศต่างๆ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และอินเดียได้”

แม้ว่าอุตสาหกรรมยังมีความท้าทาย เช่น ผลกระทบจากโควิด ภัยธรรมชาติ และสถานการณ์เศรษฐกิจการเมือง แต่การฟื้นตัวก็เป็นไปได้อย่างแข็งแกร่ง จากฐานประชากรขนาดใหญ่ของภูมิภาค ทั้งในอินเดีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และจีน ถึงแม้ตลาดจีนมีข้อจำกัดด้านการเดินทางออกนอกประเทศ แต่ อินเดียกำลังเป็นตลาดใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยจำนวนเที่ยวบินสู่กรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้น โดยรวมแล้ว ผู้คนยังคงมีความต้องการเดินทางและค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ

ขณะเดียวกันคุณต้นยังมองถึงภาพรวมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและนโยบายไทยว่า ความมั่นคงทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญ ไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรกที่เปิดตัวแคมเปญการท่องเที่ยวระดับโลกอย่าง “Amazing Thailand” เราต้องสานต่อและยกระดับการรับรู้แบรนด์ประเทศไทย ไม่เพียงขายท่องเที่ยวราคาถูกหรือแมส แต่ต้องเจาะตลาดหลายเซ็กเมนต์ โครงสร้างพื้นฐานก็สำคัญไม่แพ้กัน

ไม่ว่าจะเป็นการขยายสนามบินที่แล้วเสร็จไปแล้ว ระบบขนส่งสาธารณะ และการจัดการจราจร ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนและทำให้นักท่องเที่ยวกลับมาเยือนซ้ำ การพัฒนาโรงแรมก็ควรคำนึงถึงผลกระทบต่อชุมชนไปพร้อมกันด้วยนั่นเอง