นายโทมัส เทต ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นารายณ์ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ ตั้งเป้าจะเพิ่มโรงแรมเป็น 2 เท่า ในอีก 3-5 ปีข้างหน้านี้ ในหลายสเกลตั้งแต่บัดเจ็ท โฮเทลไปจนถึงลักชัวรี
โดยจะเน้นในภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก อาทิ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น รวมไปถึงนิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการอยู่แล้ว 12 โรงแรมในประเทศไทยและต่างประเทศ รวม 4 ประเทศ
โดยนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ มีโรงแรมทั้งที่เราเป็นเจ้าของ โรงแรมที่เราลงทุนเองและสร้างแบรนด์ขึ้นมา บริหาร อาทิ แบรนด์ “หลับ ดี” (Lub D) ซึ่งปัจจุบันมี 6 แห่ง อาทิ หลับ ดี สยาม, หลับ ดี ภูเก็ต ป่าตอง, หลับ ดี เกาะสมุย, หลับ ดี เสียมเรียบ, หลับ ดี โอซาก้า, หลับ ดี ฟิลิปปินส์ มากาติ แบรนด์ “มาราสก้า” (Marasca) ที่ในขณะนี้เปิดให้บริการอยู่ที่เขาใหญ่ และการจ้างให้เชนโรงแรม มาบริหารโรงแรมให้ อย่างล่าสุดเปิดตัวโรงแรมใหม่ในไทย คือ “เลอ เมอริเดียน ภูเก็ตไม้ขาว บีช รีสอร์ท”
สำหรับแผนขยายการลงทุนโรงแรมใหม่ที่อยู่ในไปป์ไลน์ สำหรับในไทยเราจะโฟกัสอยู่ที่การรีโนเวท “โรงแรมนารายณ์ กรุงเทพฯ” ที่จะสร้างให้เป็นโครงการใหม่ แลนด์มาร์คบนถนนสีลม ซึ่งจะประกอบไปด้วยโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ 1. โรงแรมนารายณ์ (โรงแรมเก่าที่ทุบทิ้งทำใหม่) โดยจะปรับให้เป็นลักเซอรี่ขึ้น (ระดับ 4-5 ดาว) และ 2. โรงแรมแบรนด์ใหม่ ระดับลักชัวรี 6 ดาว คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 ปี 2571
รวมถึงการลงทุนสร้างโรงแรมหลับ ดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพ (สามยอด), หลับ ดี เกาะเต่า, หลับ ดี กระบี่ และลงทุนสร้างโรงแรมมาราสก้า เกาะสมุย ส่วนต่างประเทศ ก็กำลังศึกษาแบรนด์ที่เหมาะสมกับประเทศนั้นๆ อาทิ หลับ ดี อาจจะขยายไปโตเกียว เป็นต้น
นายโทมัส ยังกล่าวต่อถึงการเปิดตัวโรงแรมใหม่ในไทย คือ “เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท” เนื้อที่ 22 ไร่ จำนวนห้องพัก 244 ห้อง ติดหน้าหาดไม้ขาว จ.ภูเก็ต ซึ่งโรงแรมนี้เป็นสินทรัพย์ในเครือของนารายณ์ฯ มาตั้งแต่ปี 2554 เดิมใช้แบรนด์ “ฮอลิเดย์ อินน์” หรือ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ ไม้ขาว บีช เดิม ในเครือ IHG ก่อนจะปิดปรับปรุง (รีโนเวท) เป็นเวลากว่า 10 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 และเปลี่ยนแบรนด์ใหม่มาใช้ “เลอ เมอริเดียน” เครือแมริออท ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา ใช้งบลงทุนไป 400-500 ล้านบาท
หลังจากเปลี่ยนแบรนด์ โรงแรมมีการปรับโครงสร้างใหม่ในหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งล็อบบี้ห้องพัก เพิ่มสระว่ายนํ้าสำหรับเด็ก เพิ่มห้องพักที่มี Private Pool และ Pool Access เพิ่มห้องพักขนาดใหญ่พิเศษอีก 2 ห้อง รวมถึงขยายพื้นที่คาเฟ่ในโรงแรมให้รองรับลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งแม้ตอนที่โรงแรมใช้แบรนด์ฮอลิเดย์ อินน์ จะได้อัตราเข้าพักสูงถึง 80% แต่ที่ต้องมีการเปลี่ยนแบรนด์
เนื่องจากบริษัทต้องการยกระดับตำแหน่งทางการตลาดของโรงแรมให้สูงขึ้น เพื่อรองรับดีมานด์กลุ่มครอบครัวในระดับไฮเอนด์ ส่งผลให้โรงแรมสามารถปรับราคาห้องพักเพิ่มขึ้น เริ่มตั้งแต่ 5,000 บาทต่อคืนขึ้นเป็นไป และน่าจะทำให้รายได้ของ เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท เพิ่มขึ้นจากเดิม 30-40% และคืนทุนได้ภายใน 5-7 ปี
ด้านนางสาว จิรารัตน์ นิลประดับ ผู้จัดการทั่วไป เลอ เมอริเดียน ภูเก็ต ไม้ขาว บีช รีสอร์ท กล่าวว่า ทำเลหาดไม้ขาวเป็นทำเลที่ดึงดูดลูกค้ากลุ่ม “ครอบครัว” ของจ.ภูเก็ต เพราะเป็นหาดที่ยังอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ จึงมีความสงบและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับกลุ่มเด็กมากกว่าหาดอื่นๆ
ทำให้โรงแรมส่วนใหญ่จะเจาะเป้าหมายกลุ่มนี้ ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทพบว่าห้องพักประเภทที่เต็มเร็วเสมอและมีไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า คือ ห้องพักแบบ Private Pool และ Pool Access สะท้อนว่าลูกค้าในทำเลนี้พร้อมจ่ายสำหรับห้องพักที่มีฟังก์ชันพิเศษมากขึ้น
ดังนั้นนารายณ์ฯ มองว่าควรอัปเกรด โรงแรมไปใช้แบรนด์ที่สูงขึ้นเพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับทำเลของโรงแรมที่ติดหาดไม้ขาวยาว 17 กิโลเมตร ซึ่งเป็นชายหาดที่ยาวที่สุดของภูเก็ต ห่างจากสนามบินภูเก็ต 15 นาที ทั้งยังอยู่ระหว่างภูเก็ตทาวน์ และพังงา
รวมถึงห้องพักจำนวน 244 ห้องก็มีหลายประเภทให้เลือก มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 41-110 ตาราง ก็จะตอบโจทย์นักท่องเที่ยวที่มีความต้องการในการพักผ่อนที่หลากหลาย
ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของโรงแรมนี้ 90% เป็นชาวต่างชาติ 10% เป็นชาวไทย เนื่องจากหาดไม้ขาวยังไม่เป็นที่นิยมของชาวไทยมากนัก ซึ่งในช่วงแรกที่เปิดให้บริการจะได้กลุ่มนักท่องเที่ยวที่เข้ามาพักผ่อนระยะสั้นจากในเอเชีย
เช่น ไทย ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย แต่นับตั้งแต่เดือนธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่งเป็นไฮซีซันนี้ น่าจะได้ต้อนรับกลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนระยะยาว เช่น รัสเซีย ออสเตรเลีย ยุโรป โดยเฉพาะสแกนดิเนเวีย
ปัจจุบันความต้องการเดินทางท่องเที่ยวภูเก็ตยังอยู่ในระดับที่ดี ประกอบกับมาตรการยกเว้นการขอวีซ่าของนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถานจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการเดินทาง โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวจีนเราก็หวังว่าจากมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่า (วีซ่าฟรี) ของรัฐบาลจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) จากจีนได้มากขึ้น
ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวรัสเซียยังเดินทางท่องเที่ยวภูเก็ต แม้จะมีปัญหาด้านอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้เชื่อว่าโรงแรมจะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกดังกล่าวอยู่ นางสาวจิรารัตน์ กล่าวทิ้งท้าย