นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบรรยายพิเศษ ในงานประชุมสมาชิกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ในหัวข้อ “การท่องเที่ยวไทยกับอนาคตประเทศไทย” ว่า เศรษฐกิจไทยประสบปัญหาการเติบโตที่ต่ำเกินไป และคุณภาพชีวิตของประชาชนจะไม่สามารถดีขึ้นได้ หากการเติบโตยังคงเป็นไปในรูปแบบเดียวกับในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งเสนอแนะให้ภาครัฐและภาคการเมืองต้องเร่งแก้ไขปัญหาและปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็น "เครื่องจักรสำคัญ" ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ย้อนถึงอดีตที่เศรษฐกิจไทยเคยเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก หรือประมาณ 7-8 % เป็นเรื่องปกติ แม้กระทั่งภายหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยก็ยังสามารถฟื้นตัวและเติบโตได้ถึง 4-5 % แต่ในช่วง 8-10 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ การที่ตัวเลขเศรษฐกิจเติบโตได้เพียง 2% เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาค โดยใช้จุดเริ่มต้นก่อนโควิด-19 เป็นฐาน พบว่า ไทยเป็นประเทศที่กลับไปสู่จุดเดิมได้ช้าที่สุด
นอกจากนี้ ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา มีเพียง 2 ปีเท่านั้นที่ประเทศไทยสามารถเติบโตได้เร็ว กว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกรวม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภาวะการเติบโตที่ซบเซาอย่างผิดปกติ
ปัจจุบัน ภาคบริการและการท่องเที่ยวถือเป็นภาคเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยมีสัดส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มากกว่าภาคเกษตรกรรมซึ่งมีสัดส่วนไม่ถึง 10 % ภาคบริการและการท่องเที่ยวยังคงเป็นจุดแข็งที่ชาวโลกมองเห็น
ความสำคัญของการท่องเที่ยวถูกตอกย้ำอย่างชัดเจนในช่วงที่เกิดภาวะล็อกดาวน์โควิด-19 ที่แสดงให้เห็นว่าหากภาคการท่องเที่ยวไม่เติบโตหรือประสบปัญหา เศรษฐกิจไทยโดยรวมก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก ก่อนเกิดโควิด-19 ประเทศไทยเคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงประมาณ 40 ล้านคน แต่ความหวังที่คาดการณ์ไว้ว่าการเปิดประเทศจะทำให้นักท่องเที่ยวและรายได้กลับมาอย่างรวดเร็วกลับไม่เป็นจริง
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่าในปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวอาจมีโอกาสทำได้น้อยกว่าปีที่แล้ว และหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ประเทศไทยอาจเติบโตได้เพียงปีละ 3% เท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า "เครื่องจักร" สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่สามารถกลับมาทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ
ปัญหาที่ส่งผลกระทบอย่างหนักคือ การหายไปของนักท่องเที่ยวจีน อย่างไม่น่าเชื่อ นักท่องเที่ยวจีนอาจเป็นประเทศเดียวที่ไม่สามารถกลับไปสู่ตัวเลขเดิม (ประมาณ 10 ล้านคน) ได้ เมื่อเทียบกับตัวเลขก่อนโควิด
บางส่วนยังคง "หลอกตัวเอง" โดยอ้างว่าปัญหาเกิดจากนโยบายภายในของจีนที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขที่ฟ้องอย่างชัดเจนคือ ตลาดนักท่องเที่ยวจีนไปญี่ปุ่น, เวียดนาม และมาเลเซีย เติบโตขึ้นมากในปีนี้ แต่มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ตัวเลขลดลง หากเป็นปัญหาที่เกิดจากนโยบายภายในของจีน ตัวเลขในประเทศอื่น ๆ ก็ควรลดลงเช่นกัน
สาเหตุที่แท้จริงคือ คนจีนรับรู้ว่าการมาประเทศไทย "ไม่ปลอดภัย" ซึ่งเป็นผลมาจากการที่โซเชียลมีเดียในจีนมีวิดีโอคลิปที่ Viral อย่างมากเกี่ยวกับเหตุการณ์นักท่องเที่ยวถูกลักพาตัว ถูกทำร้าย หรือเชื่อมโยงกับเรื่องศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Scam Center) ต่างๆ
ทั้งยังตั้งข้อสังเกตว่า หากทางการจีนพอใจกับการทำงานของไทย ระบบการควบคุมสื่อที่เข้มงวดของจีนจะไม่ปล่อยให้วิดีโอเชิงลบเหล่านี้แพร่หลายได้ การที่ทางการจีนยังมองว่าข้อความที่ส่งไปถึงคนจีนว่า "ประเทศไทยไม่ปลอดภัย" ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับได้ ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลไทยยังไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาเรื่องความปลอดภัยอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่เกิดจากการกระทำของคนไทยหรือเจ้าหน้าที่ไทย ที่อาจมีการใช้อำนาจในทางที่ผิด
ปัญหาเรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญ ถ้าหากคนไทยไม่ร่วมด้วยขบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร คนไทยและรัฐบาลควรเร่งที่จะแก้ปัญหา เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่น ปรับภาพลักษณ์ให้ประเทศไทยมีความปลอดภัย และการพูดเรื่องทุนเทาบ่อยๆ สร้างความรู้สึกน้อยใจให้กับชาวจีนที่เดินทางไปทั่วโลก และเน้นย้ำว่าความผิดหลักอยู่ที่เจ้าหน้าที่และคนไทยที่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดแต่ไม่ได้ทำ
ทั้งที่จริงๆปีนี้ควรจะเป็นปีที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากกว่าไปที่อื่น เนื่องจากเป็น ปีครบรอบ 50 ปีของการร่วมมือ แต่กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับจีนแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ทางการจีนยังต้องการให้ไทยแสดงความชัดเจนในเรื่องความปลอดภัย
นอกเหนือจากวิกฤตความเชื่อมั่นแล้ว ประเทศไทยยังเผชิญกับปัจจัยด้านการแข่งขันและการแข็งค่าของเงินบาท ทำให้เสียเปรียบ โดยมีการเติบโตของคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม และประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออก
ปัจจัยสำคัญที่กระทบอย่างรุนแรงคือ ค่าเงินบาทที่แข็งผิดปกติ เมื่อเทียบกับสถานะความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ค่าเงินบาทที่แข็งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเลือกไปประเทศอื่น ยกตัวอย่างนักท่องเที่ยวรัสเซียจำนวนมากเลือกที่จะเดินทางไปเวียดนามมากกว่าในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม เนื่องจากมีราคาถูกกว่ามาก ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็น "การบ้านสำคัญ" ที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข
นายอภิสิทธิ์ ได้นำเสนอ 5 แนวทางหลักที่ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน เพื่อฟื้นฟูและสร้างความเข้มแข็งให้ภาคการท่องเที่ยวในระยะกลางถึงระยะยาว ได้แก่
1.การปรับตลาดให้หลากหลายและสอดคล้องกับพฤติกรรมใหม่ ความพยายามในการส่งเสริมตลาดที่มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบหากตลาดหลัก (เช่น จีน) มีปัญหา นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนใหญ่เป็นการจองผ่านออนไลน์ มาในลักษณะอิสระ ไม่ใช่กลุ่มคณะ และให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์ ที่ได้รับมากกว่าความหรูหรา
2.ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (ESG): ต้องตอบโจทย์กระแสโลกเรื่องความยั่งยืน (Sustainability) และภาวะโลกร้อน (ESG) นักท่องเที่ยวคาดหวังที่จะแสวงหาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รัฐบาลจึงจำเป็นต้องมี มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเข้าสู่ระบบการรับรองความยั่งยืน เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูง
3.การพัฒนาทักษะบุคลากร: เนื่องจากมีคนงานจำนวนมากออกจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในช่วงโควิด-19 จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการ เพิ่มภูมิความทักษะและยกระดับมาตรฐาน ของอาชีพที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการประกอบการ เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
4.การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน: ถึงเวลาที่ต้องทบทวนระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด เพื่อรองรับการเดินทางและการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่หลากหลายขึ้น รวมถึง "เมืองรอง" การอำนวยความสะดวกในการเดินทางตั้งแต่การบินมาถึง (เปรียบเทียบกับสิงคโปร์และมาเลเซีย) จนถึงการเชื่อมโยงการเดินทางภายในประเทศ เป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องดำเนินการ
5.การตลาดสมัยใหม่ผ่าน Influencers: วิธีการทำการตลาดของภาครัฐในอดีต (เช่น การทำภาพสวยงามโฆษณา) กำลังมีช่องว่างมากขึ้น การตลาดในปัจจุบันต้องเปลี่ยนไปสู่การใช้ Influencers ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งสามารถสร้างแรงจูงใจและเข้าใจความต้องการของนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ได้ ภาครัฐควรให้ความสะดวกและใช้ประโยชน์จากพลังของ Influencers เหล่านี้อย่างเต็มที่ เพราะบางครั้ง Influencers ที่หลงใหลประเทศไทยกลับต้องย้ายออกไปเพราะปัญหาด้านกฎระเบียบ
“ภาคการท่องเที่ยวเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างทั้งการเติบโตและการกระจายรายได้และโอกาส ทำให้เศรษฐกิจมีความเป็นธรรมมากขึ้น ดังนั้น ภาคเอกชนและภาครัฐจึงจำเป็นต้อง ทำงานร่วมกัน เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเร่งด่วน โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และวางแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว” นายอภิสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้าย
ขณะที่นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า เอกชนมองว่า 3 ปัจจัยหลักในการปฏิรูปการท่องเที่ยวไทย ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐนำไปพิจารณา เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของประเทศไทย
โดยประเด็นสำคัญที่ถูกเน้นย้ำคือการพัฒนาระบบบริหารจัดการความเสี่ยงและมุ่งเน้นการพัฒนาในระยะยาว แทนการเน้นผลลัพธ์ระยะสั้น หรือพูดกันใน นโยบาย “Quick Win” ทุกครั้งเหมือนที่ผ่านมา โดยอยากนำเสนอใน 3 ปัจจัยหลัก ที่อยากให้รัฐบาลดำเนินการ ได้แก่
1. การจัดตั้ง National Tourism Intelligence Platform (N-TIP)
ปัจจัยแรกที่ประเทศไทยขาดแคลนอย่างมากคือ National Tourism Intelligence Platform (N-TIP) ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ปัญหาของไทยไม่ใช่การไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร แต่คือการขาดระบบที่จะแก้ไขและป้องกันปัญหาอย่างเป็นระบบ
แพลตฟอร์มข้อมูลอัจฉริยะนี้จะต้องมี ดัชนีชี้วัด ที่สำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวขาเข้า-ขาออก รวมถึงข้อมูลด้าน ความปลอดภัย ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อเกิดปัญหาขึ้น (เช่น กรณีเรือล่ม) ประเทศไทยไม่มีระบบ risk management หรือ crisis list system ที่จะสามารถตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
รัฐบาลควรมีบทบาทหลักเพียงแค่ ผู้ให้ข้อมูล (Data Provider) เท่านั้น โดยการออกแบบ การใช้งาน การบริหารจัดการ และการเป็นเจ้าของตัวแพลตฟอร์มนั้น ไม่ใช่หน้าที่ของภาครัฐ แต่ควรเป็นความร่วมมือของ 3 หน่วยงานหลัก คือ ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาครัฐ โดยจะต้องมี ฐานข้อมูล (data) ที่เป็นมาตรฐานและสามารถแสดงผลในรูปแบบ DASชอ (Dashboard) ได้ เพื่อให้เกิดการติดตามทั้งเรื่องการท่องเที่ยวและความเสี่ยง
2. ปฏิรูปและกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น (Destination Reform)
ปัจจัยที่สองคือการปฏิรูประบบ destination แม้จะมีการพูดถึงแนวคิด cluster มานาน แต่การขับเคลื่อนจริงยังขาดอยู่ หน่วยงานในท้องถิ่นควรมีบทบาทและ ตัวเลขในการกำกับ ในเชิงนโยบายระดับคลัสเตอร์ โดยจำเป็นต้องมีกฎหมายให้อำนาจแก่ท้องถิ่นในการจัดทำและจัดการการพัฒนาในพื้นที่ของตน บทบาทของท้องถิ่นในการจัดการพัฒนายังมีน้อยมาก ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและสอดคล้องกับความต้องการในการทำเรื่อง การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น
มีการเรียกร้องให้ภาคเอกชนช่วย สนับสนุนนโยบายการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง เนื่องจากหากท้องถิ่นไม่มีอำนาจในการจัดการปัญหาทางกายภาพในพื้นที่ พวกเขาก็ต้อง "วิ่งส่วน" (วิ่งเข้าส่วนกลาง) ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่สามารถทำได้จริง
3. เลิกติดกับดัก “Quick Win” และมุ่งพัฒนา Supply Side
ปัจจัยที่สามถูกระบุว่าเป็น จุดอ่อนของประเทศไทยมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา คือการที่มักได้ยินคำว่า "Quick Win" ในการประชุมระดับนโยบายอยู่เสมอ
การมุ่งเน้น "Quick Win" อย่างต่อเนื่องทำให้การท่องเที่ยวของประเทศ "ทรุดด้วยตัวมะเร็ง" เนื่องจาก Supply side (ห่วงโซ่อุปทาน) ของไทยไม่เคยได้รับการพัฒนา แต่กลับอาศัยการตลาดที่เพียงแค่ "ขุดทรัพยากรของเดิมเข้ามา"
ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อ destination ของไทยในปัจจุบัน เพราะถูกประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าและมีลักษณะใกล้เคียงกันแยกตลาดไป เนื่องจากประเทศไทยขาดการพัฒนาในเรื่อง supply side ดังนั้น หัวใจหลักที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนคือการพัฒนา Human Capital (ทุนมนุษย์)