KEY
POINTS
การบินไทยเดินหน้าวางหมากใหม่สู่การเป็น “สายการบินเจ้าบ้าน” ที่มีบทบาทหลักในการผลักดันประเทศไทยขึ้นแท่น Aviation Hub แห่งอาเซียน ภายใต้วิสัยทัศน์ที่ต่อยอดจากยุทธศาสตร์ชาติ พร้อมชูโมเดลบริหารแบบเอกชนเต็มรูปแบบ มุ่งยกระดับโครงสร้างการบิน การซ่อมบำรุง และธุรกิจขนส่งทางอากาศให้เป็นหนึ่งในเครื่องจักรขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในทศวรรษหน้า
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยระหว่างการเสวนาบนเวที "Skyconomy: Thailand’s Runways to Aviation Hub" ว่าแนวคิดการสร้าง Aviation Hub ของไทยเป็นเรื่องที่อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ของชาติและอยู่ในวิสัยทัศน์ของการบินไทยมากว่า 10 ปี แต่ในอดีตขาดกลไกขับเคลื่อนที่ต่อเนื่อง จึงทำให้แผนไม่สามารถเปลี่ยนจากแนวคิดสู่การปฏิบัติจริงได้
“วันนี้เราไม่ได้รอรัฐอีกต่อไป การบินไทยเริ่มขับเคลื่อนด้วยตนเอง และได้ชวนพันธมิตรหลักทั้งท่าอากาศยานไทย (AOT), CAT และวิทยุการบิน มาหารือร่วมกัน เพื่อหาทางสร้างศักยภาพการเชื่อมต่อของประเทศ เพราะไม่มีใครจะมาทำ Hub ให้เราได้ นอกจากสายการบินเจ้าบ้านเอง” นายชายกล่าว
นายชายเปิดเผยว่า ปัจจุบันการบินไทยมีฝูงบินจำนวน 77 ลำ จากเดิมที่เคยมีราว 103 ลำก่อนปี 2562 แต่หลังจากเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ จำนวนเครื่องบินลดลงตามสภาพตลาดและข้อจำกัดด้านเงินทุน อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนเครื่องบินเป็น 150 ลำภายในปี 2576 เพื่อให้สามารถรองรับเครือข่ายเส้นทางบินได้อย่างทั่วถึง
“แม้ตัวเลขดูเหมือนเพิ่มขึ้นมาก แต่ถ้าดูจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยระยะยาวตั้งแต่ปี 2557–2576 จะอยู่เพียงร้อยละ 2 กว่า ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตในระดับที่ยั่งยืนและจำเป็นต่อการสร้างเครือข่ายเชื่อมต่อ (Connectivity Network)”
ในระยะสั้น การบินไทยจะเพิ่มเครื่องบินลำตัวแคบอีก 17 ลำภายในปีหน้า เพื่อขยายเส้นทางบินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ขณะเดียวกันเตรียมจัดหาเครื่องบินลำตัวกว้างเพิ่มเติมเพื่อรองรับเส้นทางระยะไกล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างศักยภาพ Hub ให้กรุงเทพฯ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างทวีป
นายชายยืนยันว่า การลงทุนจัดหาเครื่องบินใหม่ได้ผ่านการศึกษาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน ทั้ง IRR (อัตราผลตอบแทนภายใน) และ NPV (มูลค่าปัจจุบันสุทธิ) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนที่เหมาะสม ไม่ด้อยไปกว่าการดำเนินธุรกิจในเครือข่ายปัจจุบัน
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ถูกจับตามอง คือโครงสร้างการบริหารภายหลังการฟื้นฟูกิจการ ซึ่งตลาดมีความกังวลว่าการเพิ่มจำนวนกรรมการอาจนำไปสู่การกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจในอดีต นายชายชี้แจงว่า การเพิ่มจำนวนกรรมการเป็นไปเพื่อให้ครบองค์ประกอบของคณะกรรมการย่อยที่จำเป็น เช่น คณะกรรมการตรวจสอบ (Audit Committee) คณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการสรรหาและค่าตอบแทน ตามข้อกำหนดของ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ
“เรายืนยันกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศว่า การบินไทยจะดำเนินการในรูปแบบเอกชนเต็มตัว (Fully Private Company) สิ่งเดียวที่จะตอบคำถามได้คือผลประกอบการ ไม่ใช่คำพูด”
บริษัทได้ปรับค่านิยมหลัก (Core Value) ใหม่ภายใต้ชื่อ “AIM” ได้แก่ Agility for growth – ความคล่องตัวต่อการเติบโตIntegrity for trust – ความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ Mastery of professional – ความเป็นมืออาชีพในธุรกิจการบิน
หนึ่งในตัวอย่างความคล่องตัวที่สะท้อน “Agility” คือการควบรวมไทยสมายล์ ซึ่งมีผลขาดทุนสะสมกว่า 18,000 ล้านบาท แต่สามารถดำเนินการควบรวมและโอนย้ายพนักงานรวมถึงทรัพย์สินทั้งหมดเสร็จภายในเวลาเพียง 9 เดือน เร็วกว่ากรณีศึกษาของ Singapore Airlines ที่ใช้เวลากว่าสองปี
ตลอดช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา การบินไทยสามารถพลิกผลประกอบการจากขาดทุนสู่กำไรอย่างต่อเนื่อง โดยมี EBIT Margin เฉลี่ยกว่า 20% ซึ่งจัดอยู่ในระดับสูงที่สุดของอุตสาหกรรมการบินโลกติดต่อกันสองปีซ้อน
นายชายเปิดเผยว่า การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะ ต้นทุนบุคลากรที่ลดลงจาก 23% ของรายได้ เหลือเพียง 12% ในขณะที่อัตราผลิตภาพ (Productivity) เพิ่มขึ้นถึง 20% จากการใช้ระบบดิจิทัลในการทำงานหลังบ้าน เช่น ระบบอนุมัติเอกสารอัตโนมัติ และการคำนวณเบี้ยเลี้ยงผ่านแอปพลิเคชัน
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จ่ายคืนเงินตอบแทนพนักงาน (Incentive Payback) ที่เคยเสียสละในช่วงวิกฤต โดยปีแรกจ่าย 15,000 บาท และปีที่สอง–สามเพิ่มเป็น 55,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจและยืนยันว่าการฟื้นตัวขององค์กรเกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือของทุกคน
“ตั๋วสวัสดิการของพนักงานไม่ได้เป็นสาเหตุให้บริษัทล้มเหลว เพราะเป็นเพียงสิทธิ์ที่ใช้ได้ปีละ 2 ครั้ง และต้องสละที่นั่งให้ผู้โดยสารจริงหากมีการ Walk-in ซื้อบัตร การให้สิทธิ์นี้เป็นเพียงแรงจูงใจเชิงสัญลักษณ์ ไม่ใช่ภาระทางการเงินของบริษัท”
ในส่วนของธุรกิจต่อยอด การบินไทยได้ยื่นข้อเสนอการลงทุน ศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) ที่อู่ตะเภามูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานหลักในการซ่อมบำรุงระดับลึก (Heavy Maintenance) ควบคู่กับการลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาทในศูนย์ซ่อมเครื่องยนต์ที่ดอนเมือง เพื่อรองรับเครื่องบินรุ่นใหม่อย่าง A321 Neo รวมถึงเปิดรับงานจากสายการบินอื่นในภูมิภาค
สำหรับธุรกิจขนส่งสินค้า (Cargo) บริษัทได้เดินหน้าหารือพันธมิตรเชิงกลยุทธ์หลังไม่ผ่านเกณฑ์ PPP ในเฟสก่อน โดยปัจจุบันคลังสินค้าที่สนามบินสุวรรณภูมิมีการใช้งานเกือบเต็มความจุ คงเหลือเพียง 5% ซึ่งจำเป็นต้องยกระดับประสิทธิภาพการจัดการ โดยเฉพาะความเร็วในการขนส่ง ที่ปัจจุบันใช้เวลาเฉลี่ย 8 ชั่วโมงต่อเที่ยว เทียบกับสิงคโปร์ที่ใช้เพียง 4 ชั่วโมง
“หากเราสามารถย่นระยะเวลาการขนส่งลงได้ครึ่งหนึ่ง จะช่วยยกระดับศักยภาพการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลจิสติกส์การบินทันที”
นายชายทิ้งท้ายว่า การสร้าง Aviation Hub ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะการบินไทย แต่เป็นโอกาสของทั้งระบบ ตั้งแต่ท่าอากาศยานไทย วิทยุการบิน ไปจนถึงภาคเอกชนที่จะได้ประโยชน์จากการขยายตัวของเศรษฐกิจรอบสนามบิน ทั้งโรงแรม การขนส่ง และบริการท่องเที่ยว
“เมื่อประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการบินระดับภูมิภาค จะเกิดการจ้างงานมหาศาลและช่วยเพิ่ม GDP ของประเทศอย่างยั่งยืน ทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันแบบ Win-Win”