2 ทายาทดุสิตธานี คู่ขัดแย้ง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก'แถลงเคลียร์ปมมรดก โต้ศึกสายเลือด

29 ส.ค. 2568 | 03:30 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2568 | 04:10 น.

2 ทายาทดุสิตธานี คู่ขัดแย้ง ‘ชนินทธ์ โทณวณิก” ออกแถลงการณ์ เคลียร์ปมมรดกชนัตถ์และลูก โต้ศึกสายเลือด ยันไม่มีนโยบายให้คนนอกเข้ามาควบคุมกิจการดุสิตธานี พร้อมแจงเหตุผลเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น กรณีเซ็นทรัลพัฒนาเสนอตัวกรรมการ ลั่นการจัดการมรดกของท่านผู้หญิงชนัตถ์เป็นเรื่องระหว่างทายาท

ล่าสุด นางสินี เธียรประสิทธิ์ และนางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค ทายาทท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย ทายาทดุสิตธานี  กรรมการผู้มีอำนาจ บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และในฐานะส่วนตัว ออกแถลงการณ์ขอชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีที่นายชนินทธ์ โทณวณิก แถลงข่าวเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา  โดยระบุ ดังนี้

การบริหารจัดการบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด และบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการมรดกของคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

  • ที่มาและการก่อตั้งบริษัท

บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ("บริษัทฯ") ก่อตั้งขึ้นในปี 2553 โดยคุณหญิงชนัตถ์ ปิยะอุย มีเจตนารมณ์ให้บริษัทฯ เป็นบริษัทของบุคคลในครอบครัวเท่านั้น โดยมีผู้ถือหุ้นหลัก 4 คน คือ คุณหญิงชนัตถ์ฯ และบุตรทั้ง 3 คน บริษัทฯ เข้าถือหุ้นในบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ("ดุสิตธานี")

โดยข้อบังคับของบริษัทฯ เกี่ยวกับหุ้น ข้อ 6 ห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นโอนหุ้นของบริษัทให้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะโอนหุ้นให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้สืบสันดานของผู้ถือหุ้นเดิมเท่านั้น และข้อ 7 ห้ามมิให้จำหน่าย จ่าย โอนหุ้นของบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งบริษัทฯ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เว้นแต่เป็นการจำหน่าย จ่าย โอนเพื่อการชำระบัญชีของบริษัทฯ เท่านั้น

  •  การปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการเข้าครอบงำกิจการจากภายนอก

บริษัทฯ ระบุว่า กรณีที่นายชนินทธ์ แถลงว่ามีการเสนอชื่อกรรมการใหม่บางคนที่มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งอาจเปิดทางให้คนนอกเข้ามาควบคุมกิจการที่ครอบครัวสร้างมานั้น เป็นไปไม่ได้เนื่องจากข้อบังคับของบริษัทฯ ไม่อนุญาตให้ขายหุ้นดุสิตธานีให้กับบุคคลภายนอกครอบครัว และนายชนินทธ์ฯ ก็ทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว บริษัทฯ ตั้งคำถามถึงเจตนาและประโยชน์ของการแถลงข่าวของนายชนินทธ์ฯ โดยเห็นว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ ต่อดุสิตธานีและผู้ถือหุ้น

  • เหตุผลในการเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นดุสิตธานี

บริษัทฯ ยืนยันว่าการยื่นขอให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นดุสิตธานีในครั้งนี้ มีเจตนาดี ต่อดุสิตธานีและผู้ถือหุ้น โดยเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายอย่างมีเหตุมีผล เนื่องจากดุสิตธานีไม่ได้จ่ายเงินปันผลมานานกว่า 5 ปี และมียอดขาดทุนสะสมกว่า 1,254 ล้านบาท

บริษัทฯ ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ จึงจำเป็นต้องให้มีการเปลี่ยนแปลงการบริหารงานของดุสิตธานี โดยจะเพิ่มเติมจำนวนกรรมการ 10 คน เพื่อให้การบริหารกิจการมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อให้ดุสิตธานีกลับมามีกำไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ และผู้ถือหุ้นโดยส่วนรวม

  • เคลียร์ดึงเซ็นทรัลพัฒนาร่วมเป็นกรรมการ

บริษัทฯ เห็นว่า บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ("เซ็นทรัลพัฒนา") หรือ CPN  ถือหุ้นในดุสิตธานีถึงร้อยละ 17.09 และเป็นพันธมิตรหลักที่ร่วมลงทุนในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 46,000 ล้านบาท การเชิญเซ็นทรัลพัฒนาส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นกรรมการของดุสิตธานี เป็นไปตามแนวทางการมีส่วนร่วมตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติปกติในการดูแลเงินลงทุนของผู้ประกอบธุรกิจทั่วไป ไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

ทั้งนี้เพื่อให้เซ็นทรัลพัฒนาใช้ความรู้และประสบการณ์มาสนับสนุนและพัฒนากิจการของดุสิตธานีให้แข็งแกร่งและเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น เซ็นทรัลพัฒนาได้เสนอชื่อกรรมการเข้ามาเพียง 2 คน จากกรรมการใหม่ทั้งหมด 10 คน ดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่เซ็นทรัลพัฒนาจะเข้ามาควบคุมอำนาจบริหารหรือยึดกิจการของดุสิตธานี ตามที่เป็นข่าว

บริษัทฯ มั่นใจว่าเซ็นทรัลพัฒนาเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับ มีความเป็นมืออาชีพ และดำเนินงานภายใต้หลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด จึงไม่มีความคิดที่จะ Take Over กิจการของดุสิตธานี

บริษัทฯ ให้ความมั่นใจว่าการดำเนินการครั้งนี้มี เจตนาดี ที่จะบริหารดุสิตธานีให้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยยึดหลักการและแนวทางการบริหารงานของคุณหญิงชนัตถ์ฯ เป็นแบบอย่าง ซึ่งนางสินี เธียรประสิทธิ์ บุตรสาวของคุณหญิงชนัตถ์ฯ ซึ่งได้ร่วมทำงานกับคุณหญิงชนัตถ์ฯ มากว่า 30 ปี มีความรู้ ความเข้าใจ ประสบการณ์ ความสามารถ และความเหมาะสมที่จะเข้ามาบริหารกิจการของดุสิตธานีได้อย่างแน่นอน

อีกทั้งดร.กฤษดา กวีญาน และ นายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ ซึ่งจะเข้ามาร่วมเป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับนางสินีฯ นั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับเซ็นทรัลพัฒนา และเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่บริษัทฯ เชื่อว่าจะบริหารจัดการดุสิตธานีได้อย่างโปร่งใส และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล ตามแนวทางของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะทำให้ดุสิตธานีประสบความสำเร็จ เป็นแบรนด์โรงแรมที่แข็งแกร่ง มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับทั่วโลก และดำรงอยู่อย่างยั่งยืนคู่กับประเทศไทยตลอดไป สมเจตนารมณ์ของคุณหญิงชนัตถ์ฯ ผู้ก่อตั้งดุสิตธานี

ดังนั้น คำแถลงของนายชนินธนท์ฯ สุดท้ายแล้ว เป็นที่น่าเสียใจและเจ็บปวดอย่างยิ่ง ที่คุณสินีและน้องอีกคนเห็นต่าง และเป็นผู้เปิดประตูเชิญชวนคนนอกที่ไม่เคยบริหารดุสิตธานีมาก่อนเข้ามามีอำนาจควบคุม บมจ.ดุสิตธานี..." นั้น ไม่เป็นความจริง และบริษัทฯ เห็นว่าเป็นการจงใจหมิ่นประมาทใสความบริษัทฯ นางสินีฯ และนางสุนงค์ฯอีกด้วย

 

2. การจัดการทรัพย์มรดกของคุณหญิงชนัตถ์ฯ เป็นเรื่องระหว่างทายาท

บริษัทฯ นางสินีฯ และนางสนุงค์ฯ ระบุว่าเรื่องการจัดการมรดกของคุณหญิงชนัตถ์ฯ เป็น เรื่องภายในครอบครัว และไม่เหมาะสม อย่างยิ่งที่จะนำออกไปเผยแพร่ให้บุคคลอื่นรับรู้ หากคุณหญิงชนัตถ์ฯ รับรู้ คงจะเศร้าใจอย่างยิ่งที่นายชนินทธ์ฯ บุตรชายคนโต ได้นำเรื่องภายในครอบครัวนี้ออกมาเผยแพร่ต่อบุคคลภายนอก และพยายามนำมาผูกโยงกับการบริหารจัดการดุสิตธานี

ตามที่นายชนินทธ์ฯ กล่าวอ้างว่าทายาททั้งสามคนของคุณหญิงชนัตถ์ฯ ได้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกเรียบร้อยแล้ว โดยทุกฝ่ายตกลงให้นายชนินธนท์ฯ ได้หุ้นทั้งหมดในบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด นั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากทายาทยังตกลงกันไม่ได้ และข้อตกลงที่อ้างนั้นยังไม่เกิดขึ้น และในเรื่องนี้เมื่อปี 2566 นายชนินทธ์ฯ ได้ยื่นฟ้องนางสินีฯ และนางสุนงค์ฯ ต่อศาลเพื่อขอให้บังคับโอนหุ้นบริษัทฯ ให้แก่ตนเองแต่ผู้เดียว

แต่ต่อมาในปี 2567 ศาลได้มี คำพิพากษายกฟ้อง ของนายชนินทธ์ฯ โดยวินิจฉัยไว้ชัดเจนแล้วว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าการประชุมผู้จัดการมรดกระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองดำเนินมาถึงเพียงขั้นตอนกำหนดแนวทางและวิธีการแบ่งทรัพย์มรดก” และอีกตอนหนึ่ง “แต่เกิดความขัดแย้งเสียก่อนทำให้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ ดังนั้น ข้อตกลงที่โจทก์อ้างตามฟ้องจึงยังไม่เกิดขึ้น” แต่นายชนินทธ์ฯ ก็ยังคงกล่าวอ้างมาตลอดว่ามีข้อตกลงนั้นอยู่

 

การที่นายชนินทธ์ฯ แถลงว่า "ทั้งสองคนเปลี่ยนใจไม่ยอมรับข้อตกลงนั้น ซึ่งผมเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของน้องทั้งสอง น่าจะเป็นผลมาจากโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส เกิดขายดีกว่าที่คิดหลังจากโควิดจบลง" นั้น เป็นการกล่าวหาโดยไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดทั้งสิ้น และทำให้นางสินีฯ และนางสนุงค์ฯ ได้รับความเสียหาย บริษัทฯ ชี้แจงว่ากรณีที่เกิดขึ้นมิใช่เรื่องที่นางสินีฯ และนางสนุงค์ฯ เพิ่งมาเปลี่ยนใจในภายหลัง แต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกกันได้มาตั้งแต่ปี 2565 แล้ว

ดังนั้นบริษัทฯ นางสินีฯ และนางสุนงค์ฯ ขอยืนยันว่าการดำเนินการในเรื่องของดุสิตธานีและการขอให้มีการจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นดุสิตธานีนั้น เป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์ของดุสิตธานีและผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง บริษัทฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะไม่เปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามา ยึดกิจการและควบคุมอำนาจบริหารของดุสิตธานีอย่างแน่นอน

บริษัทฯ จะทำทุกวิถีทางให้ดุสิตธานีมีการบริหารกิจการอย่างโปร่งใสและยึดหลักธรรมาภิบาล และพร้อมยอมรับให้มีการตรวจสอบจากทุกฝ่าย เพื่อให้ดุสิตธานีดำรงอยู่อย่างมั่นคง มีความก้าวหน้า และเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป