ท่องเที่ยวจี้เร่งตั้งนายกรัฐมนตรี-ครม.ใหม่ ใครเป็นรัฐบาลไม่สำคัญเท่าเสถียรภาพนโยบาย

29 ส.ค. 2568 | 09:18 น.
อัปเดตล่าสุด :29 ส.ค. 2568 | 09:47 น.

ธุรกิจท่องเที่ยวจี้เร่งตั้งนายกรัฐมนตรี-ครม.ใหม่ เพื่อมาบริหารประเทศให้เกิดความต่อเนื่อง เดินนโยบายขับเคลื่อนท่องเที่ยว ย้ำใครมาเป็นรัฐบาล ไม่สำคัญเท่าเสถียรภาพของนโยบาย

ล่าสุดวันนี้ (วันที่ 29 สิงหาคม 2568) มติศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของไทย ขาดคุณสมบัติและผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ผิดจริยธรรมร้ายแรง พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และครม.พ้นทั้งคณะขาดคุณสมบัติและผิดจริยธรรมร้ายแรง

นายธนพล ชีวรัตนพร นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ “แพทองธาร ชินวัตร” พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว ทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวอยากให้มีการตั้งครม.ชุดใหม่โดยเร็ว เพื่อให้ดำเนินการทางนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง

โดยการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่อยากให้โฟกัส เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมารัฐบาลชุดที่ผ่านมา ก็ออกโครงการต่างๆกระตุ้นท่องเที่ยว ก็อยากให้เดินต่อ และอยากให้มีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจัง

ธนพล ชีวรัตนพร

ด้านนายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า จากนี้ทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวอยากให้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และครม.ใหม่โดยเร็ว เพื่อมาบริหารประเทศให้เกิดความต่อเนื่อง ผู้นำรัฐบาลที่จะต้องมีความคิดในการเสียสละเพื่อส่วนรวมช่วงการเปลี่ยนผ่านอำนาจรัฐ เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์

เบื้องต้นต้องยอมรับว่าประเทศไทยต้องกลับมาเผชิญกับสุญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง นโยบายของรัฐบาลขาดความต่อเนื่อง การมีรัฐบาลใหม่คงใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน ทำให้เศรษฐกิจที่อ่อนแอมากอยู่แล้ว การเติบโตในช่วงครึ่งหลังของปีที่มีการคาดว่าจะโตเพียง 1% อาจโตต่ำกว่าระดับดังกล่าวได้ โดยคาดหวังว่าการตั้งรัฐบาลใหม่ภายใน 1-2 เดือนควรมี ครม.เข้ามาบริหารงานได้เต็มอำนาจแล้ว เพื่อไม่ให้ทุกอย่างซึมตัวลง เหมือนช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทุกอย่างซึมลงจากการที่นายกฯ ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว

 

เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี การท่องเที่ยวในประเทศที่คาดหวังว่าจะเข้ามาช่วยสนับสนุนการหมุนเวียนของเศรษฐกิจ เกิดการจับจ่ายใช้สอยในช่วงสุดท้ายของปี 2568 ที่ปกติมักเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) แต่ปีนี้อาจมีการเดินทางลดน้อยลง ส่วนตลาดต่างประเทศ นโยบายการกระตุ้นตลาด หรือการพัฒนาภาคการท่องเที่ยวที่ต้องใช้งบประมาณ

อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน การอำนวยความสะดวกในเมืองรอง หรือโครงการใหญ่ๆ ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจของรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มคงต้องหยุดชะงัก หรือมีการเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ผลกระทบจึงมีในส่วนของการตัดสินใจลงทุนจากเอกชนแน่นอน เพื่อรอดูโฉมหน้าของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาก่อน

ทั้งการค้าที่มีผลกระทบจากภาษีสหรัฐ รวมถึงการลงทุนเอกชนที่ความเชื่อมั่นหายไปจากสุญญากาศทางการเมือง ที่ต้องรอรัฐบาลเต็มอำนาจใหม่อีกครั้ง รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัวลง ทั้งไทยเที่ยวช่วงที่เหลือของปีนี้ และตลาดต่างชาติที่ชะลอตัวอยู่แล้ว จึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจรวมสูงมาก โดยช่วงไตรมาส 4 ถือเป็นไฮซีซั่น สิ่งที่ทำไปแล้ว การกระตุ้นท่องเที่ยวต่างๆ ยังสามารถไปได้ แต่อาจไม่ได้ดีเท่าที่คาดไว้

เพราะหากมีรัฐบาลที่ทำหน้าที่ได้ตามปกติ จะสามารถออกมาตรการเติมส่วนที่ขาดไปได้ จากการพิจารณาทั้งปี 2568 นี้ เป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมคงได้เห็นที่ 34.5 ล้านคน ไม่น่าจะต่ำกว่านี้แล้ว เพราะตัวเลขดังกล่าวถือว่าต่ำสุดแล้ว

สำหรับการขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ประเทศไทยควรใช้โอกาสภายในสองหรือสามปีนี้ เพื่อปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐานและสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่เลือกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางอื่นๆ แทน อาทิ ญี่ปุ่นและเวียดนาม นอกจากนี้ ต้องอาศัยเป็นจังหวะในการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่ใช้จ่าย เพราะไทยยังมีจุดแข็งด้านการต้อนรับและการเดินทางระยะสั้นจากจีนและประเทศอื่นๆ ในเอเชีย

นโยบายการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวต้องได้รับการให้ความสำคัญมากที่สุดเพราะเหลือเครื่องยนต์เศรษฐกิจหลักเครื่องเดียวที่ดันเศรษฐกิจของประเทศที่เดินหน้าได้ การปรับโครงสร้างการพัฒนาในทุกมิติในการรองรับ การแข่งขันของโลกในยุค AI รัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการพัฒนาคน และ เทคโนโลยี ไปพร้อมเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

นายวรเนติ หล้าพระบาง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เวียตเจ็ทไทยแลนด์ (ไทยเวียตเจ็ท) กล่าวว่า ภาคเอกชนสนใจเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่า ใครมาเป็นรัฐบาล เราก็พร้อมสนับสนุนนโยบายภาครัฐตลอด แต่เรื่องใครจะมาเป็นรัฐบาลนั้น ไม่สำคัญเท่ากับความมีเสถียรภาพของนโยบาย เราไม่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะในมุมนักลงทุนต่างชาติอาจขาดความมั่นใจในการเข้ามาลงทุนและทำธุรกิจ

วรเนติ หล้าพระบาง

สิ่งที่เราสนใจมากที่สุดคือเรื่องของความมั่นคง ความมีเสถียรภาพ และการไม่เปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบายที่บ่อยครั้งจนเกินไป สำหรับสถานการณ์การเมืองในตอนนี้ เราคงเอาใจช่วยทุกพรรคการเมือง โดยอยากให้มองภาพรวมของประเทศเป็นหลัก เมื่อพรรคการเมืองนั้นๆ เข้ามาบริหารประเทศแล้วก็อยากให้ดูแลเรื่องเศรษฐกิจ

ที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในระยะยาว เพราะตอนนี้เราต้องดูคู่แข่งรอบด้าน ยกตัวอย่าง เวียดนาม ซึ่งเป็นประเทศที่มีเสถียรภาพด้านการเมือง และมีนโยบายผลักดันการลงทุนอย่างต่อเนื่อง