ธุรกิจสายการบินในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ในภาพรวมถือว่ามีทิศทางบวก โดย 3 สายการบินหลักของไทย ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ การบินไทย ,ไทยแอร์เอเชีย และบางกอกแอร์เวย์ส รวมกันมีรายได้อยู่ที่ 134,885 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีรายได้รวมกันอยู่ที่ 129,255 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5,630 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 25,666 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,307 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 20,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในภาพรวมของธุรกิจสายการบิน หลักๆมาจากการดำเนินธุรกิจของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก “การบินไทย” ทำกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 702.5 % โดยดันกำไรแตะ 21,973 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรอยู่ที่ 2,716 ล้านบาท การทำกำไรที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ
ทั้งหลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ การบินไทย ก็นำหุ้น THAI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี ล่าสุดราคาหุ้นยังวิ่งอยู่ที่ 16-18 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (Market Cap.) รวม 4.18 แสนล้านบาท นับเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับที่ 10 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ขณะที่สายการบิน “ไทยแอร์เอเชีย” ก็สามารถพลิกจากขาดทุน 325 ล้านบาท กลับมาทำกำไร 1,601 ล้านบาท แม้ว่ารายได้จะน้อยลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้โดยสารของสายการบิน ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดนักท่องเที่ยวเอเชีย ที่เป็นตลาดที่เที่ยวไทยชะลอตัว ส่วน “บางกอกแอร์เวย์ส” แม้รายได้จะลดลงเล็กน้อยแต่ก็บริหารจัดการ จนยังคงทำกำไรในช่วงครึ่งปีแรกนี้ได้
ในส่วนของบิ๊กธุรกิจโรงแรม ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ แม้นักท่องเที่ยวจะชะลอตัว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังสามารถทำกำไรได้อยู่ ยกเว้น “ดุสิตธานี” ที่ยังขาดทุนอยู่ แต่ก็มีรายได้เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากการรับรู้รายได้ของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ และดุสิตเรสซิเดนซ์ ที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้โรงแรมที่ทำกำไรสุทธิสูงสุด คือ “ไมเนอร์” โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,502 ล้านบาท ลดลง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้จะมีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่กว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นแรงหนุนจากรายได้เฉลี่ยค่าห้องพักต่อคืนของโรงแรมในยุโรปและอเมริกา ที่เพิ่มขึ้น 6 % รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมในมัลดีฟส์ เพิ่มขึ้น 23 % และรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อของโรงแรมในไทย เพิ่มขึ้น 4 %
ตามมาด้วยบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ “AWC” ที่ทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,374 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.4% ด้วย Growth-Led Strategy รับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ และการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ และยังเป็นธุรกิจที่มีการขยายตัวของรายได้สูงสุด โดยมีรายได้อยู่ที่ 11,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% จากการเปิด 3 โรงแรมใหม่ การเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจโรงแรม
ล่าสุดเพิ่งจะเปิดตัว “Jurassic World The Experience” ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงโลว์ซีซัน และยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสนับสนุนให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางความบันเทิงระดับโลก
สำหรับโรงแรมที่มีอัตราการทำกำไรสูงสุด คือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ธุรกิจโรงแรมในเครือ สิงห์เอสเตท ที่ทำกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อยู่ที่จำนวน 200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 399% เป็นกำไรสุทธิในรอบครึ่งปีแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลง และความสามารถในการรีไฟแนนซ์เงินกู้จากแหล่งเงินกู้ต้นทุนสูงไปยังแหล่งเงินกู้ที่มีต้นทุนต่ำ ทำให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนสถานการณ์ธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบินก็ยังมองบวก และมีแผนประคองตัวในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง
นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางรายได้ของการบินไทยว่าเป็นไปในทางที่ดี สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ ล่าสุดในช่วงไตรมาส 2 บริษัทมีกำไร 1.2 หมื่นล้านบาท ทำได้ดีตามเป้าหมาย และคาดว่าไตรมาส 3 และ 4 ก็จะยังคงเป็นไปตามเป้าหมายเช่นกัน ซึ่งผู้โดยสารส่วนใหญ่มาจากการบินระยะไกล และไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของภาคการท่องเที่ยวมากนัก
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 การบินไทยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดสูงถึง 120,010 ล้านบาท ประกอบกับผลประกอบการที่ดีต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯมีกำลังในการขยายฝูงบิน และปรับปรุงบริการ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการหารายได้เพิ่ม
นายสันติสุข คล่องใช้ยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอเชีย เอวิเอชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AAV กล่าวว่า ครึ่งปีหลังการดำเนินธุรกิจของไทยแอร์เอเชีย จะยังคงเน้นการบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น โดยได้ปรับลดปริมาณที่นั่งในเส้นทางที่มีการเดินทางน้อย และเพิ่มโอกาสในเส้นทางภายในประเทศและเส้นทาง Fifth Freedom ไทยแอร์เอเชียได้เปิดเส้นทางบินใหม่จากสุวรรณภูมิไปยังบุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี และนราธิวาส ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา และจะเปิดเส้นทางเชียงรายและนครศรีธรรมราชในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้ ยังได้เปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศเพิ่มเติม เช่น ภูเก็ต-โกชิ (อินเดีย), ภูเก็ต-เมดาน (อินโดนีเซีย) และเส้นทาง Fifth Freedom ใหม่ “ดอนเมือง-ฮ่องกง-โอกินาว่า” และ “เชียงใหม่-ไทเป-ซัปโปโร” คาดการณ์ว่าแนวโน้มความสามารถในการทำกำไรในช่วงครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรก และคาดว่าจะขยายฝูงบินเป็น 64 ลำ ณ สิ้นปีนี้ จากเดิมที่วางแผนไว้ 66 ลำ โฟกัสการเติบโตของตลาดอินเดียและอาเซียนให้เพิ่มขึ้น
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC กล่าวว่า AWC เตรียมจะเปิดให้บริการโครงการ Lannatique Kalare จุดหมายปลายทางแห่งศิลปวัฒนธรรมล้านนารูปแบบใหม่ใจกลางเชียงใหม่ ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ควบคู่กับการบริหารโครงสร้างทางการเงินอย่างแข็งแกร่ง และการควบคุมต้นทุนทางการเงินอย่างมีวินัย
อีกทั้งบริษัทยังได้รับแรงสนับสนุนเชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ซึ่งช่วยกระตุ้นดีมานด์ของนักท่องเที่ยวในประเทศ โดยเฉพาะโรงแรมในหัวหินและพัทยาที่ได้รับความนิยมสูงสุด และร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกที่มีเครือข่ายนักท่องเที่ยวคุณภาพกว่า 710 ล้านคนทั่วโลก เพิ่มสัดส่วนการจองตรง (Direct Booking) สูงถึง 70% สร้างการเติบโตให้กับยอดจองของโรงแรมในเครือ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ เชียงใหม่ สมุย กระบี่ และพัทยา ที่มียอดจองล่วงหน้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งหมดล้วนเป็นภาพรวมของบิ๊กธุรกิจสายการบินและโรงแรมตลอดช่วงครึ่งแรกของปีนี้
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,124 วันที่ 21 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568