นางสาวผกากรอง เทพรักษ์ จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย แถลงดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศ ไตรมาส 2/2568
จากการประเมินสถานการณ์ท่องเที่ยวจากสถานประกอบการ 741 สถานประกอบการ พบว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการลดลงอยู่ที่ระดับ 70% จากไตรมาสก่อนอยู่ที่ 83% ถือเป็นการลดลงในระดับมากและลดลงมากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 ในระดับ 79%
ทั้งคาดว่าการณ์ว่าสถานการณ์ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการในช่วงไตรมาสที่ 3/2568 อยู่ที่ที่ 65% โดยคาดว่าทั้งปี 2568 จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 33.3 ล้านคน น้อยกว่าปี 2562 คิดเป็นสัดส่วน 16.5% น้อยกว่าปี 2567 ประมาณ 6.2%
สร้างรายได้ 1.75 ล้านล้านบาท น้อยกว่าปี 2562 ประมาณ 8.3% ส่วนนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ 4.5 ล้านคน สร้างรายได้ 225,000 ล้านบาท
จากการสำรวจคนไทยจำนวน 450 คนทั่วประเทศ พบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างจังหวัดของคนไทย ในไตรมาส 2/2568 ประมาณ 4,976 บาท/คน/ทริป เพิ่มขึ้นกว่าไตรมาสที่ผ่านมา
นอกจากนี้ พบว่ากลุ่มตัวอย่าง 64% มีหนี้สิน โดยมีหนี้สินประมาณ 32% ของรายได้ โดยอาชีพเกษตรกรและอาชีพรับจ้างทั่วไปได้รับผลกระทบจากหนี้ครัวเรือนมากกว่าอาชีพอื่น เนื่องจากมีรายได้น้อยและรายได้ไม่แน่นอน
จึงคาดการณ์การสถานการณ์ท่องเที่ยวของคนไทยในไตรมาส 3/2568 พบว่ามีแนวโน้มลดลงมากที่สุดถึง 31% นับตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา
"อาจเป็นเพราะคนไทยขาดกำลังซื้อและเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ประชาชนต้องการให้มีโครงการคนละครึ่ง เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศขึ้นอีกครั้ง จากการสำรวจนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 302 คน พบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2568 ประมาณ 46,718 บาท/คน/ทริป โดยนักท่องเที่ยวยุโรป ใช้จ่ายมากที่สุด 64,169 บาท/คน/ทริป รองลงมาเป็นตะวันออกลาง 56,889 บาท/คน/ทริป ส่วนนักท่องเที่ยวจีน ค่าใช้จ่าย ประมาณ 50,000 บาท/คน/ทริป" นางสาวผกากรอง กล่าว
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า รายได้ในภาพรวมของสถานประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45% ของก่อนเกิดโควิด-19 ปี (2562) ลดลง 58% จากไตรมาสที่ 1/2568 ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/2565 ช่วงที่การระบาดของโรคโควิดเริ่มผ่อนคลายและมีการยกเลิกการลงทะเบียน Thailand Pass
สะท้อนสภาพเศรษฐกิจที่กำลังถดถอย ธุรกิจร้านอาหารมีรายได้ประมาณ 54% ของก่อนเกิดโควิด รองลงมา คือ ธุรกิจที่พักแรม 48% ส่วนร้านขายของฝาก/ของที่ระลึกและสถานบันเทิง 39% รายได้ลดลงมากที่สุด
สถานประกอบการในภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีรายได้เป็นบวกมากกว่าภาคอื่น 49% ส่วนภาคเหนือ 40% มีรายได้ลดลงกว่าช่วงเวลาปกติมากที่สุด อัตราการเข้าพักของธุรกิจที่พักแรม
ในไตรมาส 2/2568 ในภาพรวม 48% ลดลง 56% ในระดับมากเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2568 โดยภาคตะวันตกมีอัตราการเข้าพักสูงกว่าภูมิภาคอื่น 53% รองลงมาเป็นภาคตะวันออก 50%
นางสาวผกากรอง กล่าวว่า คาดการณ์ไตรมาส 3/2568 ผู้ประกอบการเกือบทุกภูมิภาคคาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาส 2/2568 จะลดลงกว่าไตรมาสนี้ ยกเว้นภาคกลางที่คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในไตรมาสก่อนหน้าไม่แตกต่างจากไตรมาสนี้ คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวในภาคกลางจะอยู่ในระดับ 68% เป็นบวกมากกว่าภูมิภาคอื่น รองลงมาเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่ในระดับ 67%
ส่วนกรุงเทพมหานครอยู่ในระดับ 58% คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวเป็นบวกน้อยกว่าภูมิภาคอื่น โดยธุรกิจที่พักแรมอยู่ในระดับ 59% และสถานบันเทิง อยู่ในระดับ 59% คาดว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวเป็นบวกน้อยกว่าธุรกิจประเภทอื่น
ในช่วงไตรมาส 2/2568 มีสถานประกอบการเปิดให้บริการปกติ 94% ลดลงจากไตรมาส 1/2568 และมีสัดส่วนสถานประกอบการที่ปิดตัวชั่วคราว 3% ปิดถาวร 2% และลดขนาดธุรกิจ 1% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2568
โดยสถานบันเทิงมีสัดส่วนของสถานประกอบการหยุดบริการมากสุด 13% รองลงมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น 9% ร้านขายของฝาก/ของที่ระลึก 5% ร้านอาหาร 4%
ส่วนแนวโน้มสถานประกอบการไตรมาส 3/2568 คาดว่าสถานประกอบการเป็นอย่างต่ำ 1% ที่มีแผนลดจำนวนพนักงานในไตรมาส 2/2568 และมีสถานประกอบการอย่างต่ำ 2% ที่มีแผนขึ้นราคาสินค้าและบริการ
ทั้งคาดว่าทั้งปี 2568 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 33.3 ล้านคน น้อยกว่าปี 2562 ร้อยละ 16.5 และน้อยกว่าปี 2567 ร้อยละ 6.2 คาดว่า ปี 2568 มีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 1.75 ล้านล้านบาท น้อยกว่าปี 2562 ร้อยละ 8.3
โดยคาดว่า ปี 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 4.5 ล้านคน ค่าใช้จ่าย ประมาณ 50,000 บาท/คน/ทริป มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 225,000 ล้านบาท