นายชัย อรุณานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ในขณะนี้สทท.ได้ทำหนังสือเปิดผนึก ถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอแนวทางในการยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่ความยั่งยืน โดยสทท.มองว่าเนื่องจากการที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สามารถสร้างรายได้ให้แก่ประเทศชาติ ส่งเสริมการจ้างงาน กระจายรายได้ไปสู่ระดับท้องถิ่น
ทั้งยังเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องจำนวนมาก อาทิ การคมนาคม การเกษตร การบริการ สุขภาพ และหัตถกรรมพื้นถิ่น โดยมีการจ้างงานในภาคการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมมากกว่า 4.4 ล้านคน หรือประมาณ 11 % ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ
แต่ด้วยวิกฤตการณ์ด้านความขัดแย้งตามสภาพภูมิศาสตร์ รวมถึงสภาพเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเริ่มส่งผลประทบต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย
สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ สทท.จึงมีการเสนอข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาสนับสนุน ใน 8 ประเด็น ดังนี้
1.การแก้ปัญหาด้านการท่องเที่ยว โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว ที่เป็นปัญหาเรื้อรังของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย
2. การสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นรูปธรรม สร้างระบบการติดตาม และประเมินผลอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการสร้างความปลอดภัยสำคัญ 2 ด้านได้แก่ ด้านความปลอดภัยจากอุบัติเหตุด้านการคมนาคมสัญจร โดยเฉพาะอุบัติเหตุบนถนน และความปลอดภัยจากอาญชกรรมต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นโดยคนไทย หรือคนต่างชาติ
3. การบริหารจัดการพื้นที่ให้บริการกัญชาในบริบทด้านการท่องเที่ยว โดยกำหนดพื้นที่ควบคุมที่เหมาะสม มีกฎหมายกำกับดูแล เพื่อควบคุมความเสี่ยงด้านสาธารณสุข ภาพลักษณ์ประเทศ และสิทธิของประชาชน
4. การยกระดับระบบคมนาคมขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางให้ได้มาตรฐานสากลสามารถเชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวชุมชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การพัฒนาและควบคุมมาตรฐานการบริการด้วยการจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมด้านการท่องเที่ยวระดับภูมิภาค สนับสนุนการอบรมทักษะด้านภาษา เทคโนโลยี การบริการ และการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม ควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อผู้ประกอบการที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน
6. การสนับสนุนผู้ประกอบการท่องเที่ยวรายย่อยผ่านกองทุนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวยั่งยืน การเข้าถึงสินเชื่อในอัตราพิเศษ เพื่อสามารถมีเงินทุนหมุนเวียนในช่วงวิกฤตการณ์ และเงินทุนเพื่อปรับปรุงระบบการทำงาน และทักษะของผู้ประกอบการ ทั้งนี้เสนอพิจารณาให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลัง
7. การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบราชการที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อลดขั้นตอนในการขอประกอบการ และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ โดยเสนอให้พิจารณาแก้ไขกฎหมาย 2 ส่วน คือ การพิจารณาแนวทางจัดทำ Single License ของธุรกิจโรงแรม และที่พัก และ การแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการ พ.ศ.2553 ให้เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน
8. พิจารณาให้มีหน่วยงานเฉพาะที่มีภารกิจด้านการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการสร้างองค์ความรู้ การฝึกอบรม และการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย และสามารถรับมือการเปลี่ยนแปลงทางข้อบังคับจากสหภาพยุโรป
สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มีความเชื่อมั่นว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยจะสามารถเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นอุตสาหกรรมสำคัญในการกระจายรายได้ให้กับประเทศไทยตามยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้วางไว้บนการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐบาล และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พร้อมจะประสานงานและสนับสนุนภารกิจสร้างความยั่งยืนให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
นายชัย ยังกล่าวถึง การชลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาเที่ยวไทยลดลง เกิดจากการลดลงอย่างมากของนักท่องเที่ยวจีน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องของภาพลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น การโจมตีเรื่องทุนจีนสีเทา บวกกับกระแสของของโซเชียลต่างๆ ทำให้ภาพรวมของการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบ ทั้งๆที่หลายเรื่องระหว่างไทย-จีน เป็นเพียงปัญหาส่วนน้อย แต่หวั่นว่าเมื่อมีการปล่อยข่าวไปเรื่อยๆ จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว
นอกจากนี้สทท.ยังได้สำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการท่องเที่ยวในประเทศไทย เมื่อไตรมาสก่อนหน้านี้ ภาคเอกชนมีข้อเสนอแนะถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยมองว่าควรเตรียมตั้งจังหวัดภูเก็ต เป็นเขตปกครองพิเศษ ด้านการท่องเที่ยว เนื่องจากภูเก็ต ทำรายได้ด้านการท่องเที่ยวปีละกว่า 4 แสนล้านบาท นักท่องเที่ยว และนักลงทุนหลั่งไหลเพิ่มมากขึ้นทุกปีในขณะที่พื้นที่และทรัพยากรมีจำกัด
ปัจจุบันภูเก็ตเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น Over tourism ปัญหาด้านมลพิษและสิ่งแวดล้อม ปัญหาการถือครองที่ดินและการเป็นเจ้าของธุรกิจโดยชาวต่างชาติ (Nominee) ปัญหาขาดแคลนนํ้าในหน้าแล้ง ปัญหาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว น้ำท่วม ฯลฯ การแก้ปัญหาด้วยระบบราชการมักจะไม่ทันการ สำหรับพื้นที่มีมูลค่าธุรกิจที่สูงเช่นนี้ และเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดด้านการท่องเที่ยวของประเทศ
ปัญหาเหล่านี้ควรได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วน การตั้งจังหวัดภูเก็ตเป็นเขตปกครองพิเศษด้านการท่องเที่ยวช่วยให้มีศักยภาพในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของภูเก็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเสริมสร้างการบริหารจัดการที่เหมาะสมกับความต้องการของนักท่องเที่ยว ทั้งในแง่ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การดูแลสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมวัฒนธรรมท้องถิ่นได้อย่างยั่งยืน
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,105 วันที่ 15 - 18 มิถุนายน พ.ศ. 2568