นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า การวางแผนรับมือและปรับกลยุทธ์การลงทุนภายใต้การประเมินสถานการณ์แบบเลวร้ายที่สุด (Worst Case Scenario) ที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษี (Reciprocal Tariffs) ในอัตรา 36 % ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน จะเห็นว่าประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่เท่ากับกัมพูชา น้อยกว่าสปป.ลาว และเมียนมาร์ แต่สูงกว่าอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ถือเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ Foreign Direct Investment
โดยดูจากมูลค่า FDI Inflows เฉลี่ยต่อปีของไทยที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะหลังปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศไทย ด้วยเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Investment-led Growth)
การที่ประเทศไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้ไทยสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ ซึ่งเดิมก็แย่อยู่แล้ว แม้จะมีความได้เปรียบในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน ทำเลที่ตั้ง แต่ต้องเสียความสามารถในการเข้าถึงตลาด โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาในบางประเภทสินค้าไป
ดังนั้นประเทศไทยควรเตรียมรับมือโดยมุ่งเน้นการเสริมสร้างปัจจัยในการดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในระยะยาว เช่น ความมีเสถียรภาพทางการเมือง และนโยบายเศรษฐกิจ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การเป็นส่วนหนึ่งของขอตกลงการค้าเสรี (FTA) ความใกล้ชิดกับตลาดผู้บริโภคขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น จีน อินเดีย
การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือนิคมอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาอย่างครบวงจร ในขณะที่ต้องเร่งแก้ไขข้อจำกัด/จุดอ่อนอย่างจริงจัง เช่น ความสามารถด้านภาษาและทักษะดิจิทัลของแรงงาน ระบบการศึกษาและการฝึกอบรมที่สนับสนุนภาคอุตสาหกรรม และต้องมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาที่สามารถช่วยเหลือผู้ที่ได้รับ ผลกระทบจากการที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อป้องกันการย้ายฐานการผลิต
สำหรับการลงทุนในปี 2568 คงไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร ใช้กลยุทธ G Standstill ตรึงสถานการณ์ไว้ โดยไม่ดำเนินการใด ๆ เพิ่มเติมในช่วงเวลานี้ รอจังหวะที่เหมาะสมหรือประเมินสถานการณ์ก่อนตัดสินใจดำเนินการต่อไป เพราะมีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ในขณะที่ต้องมีมาตรการทางการตลาดสร้างความมั่นใจดึงดูดการลงทุนใหม่ พร้อมมาตรการสนับสนุนเยียวยาการลงทุนปัจจุบันในการปรับตัวกรณีที่สหรัฐอเมริกายังคง Tariffs ฝั่งไทยที่ระดับ 36 %
ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าต่างชาติเลือกไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไทย ดังนั้น กรณีที่สหรัฐอเมริกายังคง Tariffs ฝั่งไทยที่ระดับ 36 % และเวียดนามถูกเรียกเก็บในอัตราต่ำกว่า อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติใช้พิจารณาเมื่อตัดสินใจลงทุนไปเวียดนามแทนไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 10-20% ก็อาจเป็นไปได้ โดยเฉพาะการลงทุนประเภท Footloose Industry ที่มุ่งส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามไม่ว่าไทยจะถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีในอัตราใดก็ตาม Best Case (15-20%) Base Case (20-25%) Worst Case (30-36%) ประเทศไทยต้องเดินหน้าต่อไป “ก้าวข้ามปัญหา มุ่งหน้าฟื้นคืนการลงทุน” เป้าหมายการเจรจา คือ ควรอยู่ในระดับที่แข่งขันได้กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อให้ไทยเรายังคงแข่งขันได้ในมิติของการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ที่จะดูท้าท้ายและสิ้นหวัง แต่อาจจะเป็นโอกาสสำคัญของประเทศในการปรับตัวสร้างการเปลี่ยนแปลงทำให้ไทยมีความหวังที่จะมีอนาคตทางเศรษฐกิจที่สดใส พร้อมรับมือกับความท้าทายในยุค TRUMP แต่การทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตในอัตราที่สูงขึ้นนั้น ไม่สามารถดำเนินการด้วยการอัดฉีดเงินการคลังเพิ่มได้มากนัก เพราะประเทศขาดดุลการคลังต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลานานจนทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะสูงขึ้นมาอยู่ที่มากกว่า 60 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มทรงตัวไม่เติบโต
นอกจากนี้ประเทศไทยยังเผชิญกับข้อจำกัดที่จะสร้างการเติบโตด้วยการบริโภคด้วยหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 92 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) กอปรกับสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยที่อาจไม่สดใสอย่างที่มองกัน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ ฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มประเทศที่ได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวอื่นๆโดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 34.5 ล้านคนในปี 2568 เติบโตชะลอตัวลงจากปีที่ผ่านมา เนื่องจากไม่สามารถชดเชยนักท่องเที่ยวจากจีนที่ขาดหายไปได้
ผมยังเชื่อมั่นในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ Investment-led Growth เพราะการที่อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยถดถอยมาอยู่ที่ต่ำกว่า 3 % ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการลงโดยตรง จากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment หรือ FDI) ที่อยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน โดยดูจากมูลค่า FDI Inflows เฉลี่ยต่อปีของไทยที่น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน โดยเฉพาะหลังปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าประเทศไทยด้วยเงินลงทุนจากต่างประเทศ
การเร่งรัดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอาจเป็นทางออกตอบโจทย์ความท้าทายในยุค TRUMP ไม่ว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีเท่าไหร่ จะทำให้เศรษฐกิจไทย และการส่งออกกลับมาเติบโตได้เร็วอย่างมีคุณภาพ การตัดสินใจเลือกลงทุนในพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น นิคมอุตสาหกรรม กระตุ้นให้เม็ดเงินลงทุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศเร็วขึ้น ช่วยให้การลงทุนในประเทศให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและต่อเนื่อง
ทั้งนี้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศถือว่าเป็นเครื่องยนต์สำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอด เพราะการลงทุนนำไปสู่การปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ เพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างประเทศ ส่งออกสินค้าตามความต้องการของตลาดได้เพิ่มขึ้น ดังนั้นการทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการลงทุนของภูมิภาคและของโลก จึงเป็นเรื่องสำคัญ