เป้าหมายการท่องเที่ยวของไทยปี 2568 ท่ามกลางสารพัดปัจจัยท้าทายที่เกิดขึ้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ยังคงขึงเป้าหมายต่างชาติเที่ยวไทย 39 ล้านคน แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวจากเอเชีย และแปซิฟิกใต้ 28.2 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 72.46 % และนักท่องเที่ยวจากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 10.7 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วน 27.54 %
โดยสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ 2.23 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น รายได้จาก นักท่องเที่ยวจากเอเชีย และแปซิฟิกใต้ 1.36 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61.23 % รายได้จากยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 38.77 % หลังจากททท.ยังไม่ได้รับความเห็นชอบจากบอร์ดททท.ในการปรับลดเป้าหมายลง
ทั้งๆที่แนวโน้มในปีนี้มีการประเมินไว้ว่าไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงสุดไม่น่าจะเกิน 35 ล้านคน โดยน่าจะอยู่ที่ราว 34.2 ล้านคน ลดลง 3.8 % เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 35.6 ล้านคน ซึ่งมีแนวโน้มหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี การหดตัวของจำนวนนักท่องเที่ยว ย่อมส่งผลต่อเป้าหมายรายได้ที่จะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน จากค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปโดยรวมที่จะลดลงเหลืออยู่ประมาณ 47,000 ล้านบาท
หลังจากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-5 ก.ค.2568 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยแล้ว 16.8 ล้านคน ปรับตัวลดลง 5 % เป็นนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะใกล้ 67.1 % และตลาดระยะไกล 32.9 % โดยตลาดนักท่องเที่ยวระยะใกล้ลดลง 12.20 % เฉพาะนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออก ลดลงมากถึง 24.81 % จากการชลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน ขณะที่ตลาดนักท่องเที่ยวระยะไกล ยังอยู่ในแดนบวก โดยเพิ่มขึ้น 14.88 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน
การท่องเที่ยวไทย กำลังมีปัญหาจากโครงสร้างของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป หลังการชลอตัวของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักด้านการท่องเที่ยวของไทย จากปัญหาภาพลักษณ์ความไม่ปลอดภัยในการเดินทางมาท่องเที่ยวในไทย โดยในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-5 ก.ค.2568 ลดลงถึง 34.23 % จากปี 2562 ก่อนโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยมากถึง 11.1 ล้านคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมด 39.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 28 % คิดเฉลี่ยเดือนละ 925,000 คน หรือวันละกว่า 3 หมื่นคน
แต่ปัจจุบันจีนเที่ยวไทยเหลือสัดส่วนเพียง 13.58% หากแนวโน้มการหดตัวของตลาดจีนยังคงดำเนินต่อไป เช่นนี้ ก็คาดว่าตลอดทั้งปีนี้ไทยจะมีนักท่องเที่ยวจีนเหลือเพียง 4-5 ล้านคน ซึ่งจะเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ที่ต่ำกว่า 5 ล้านคน (ไม่นับช่วงโควิดและการฟื้นตัวหลังโควิด)
การหายไปของนักท่องเที่ยวจีนส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการสร้างรายได้ทางการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญ เพราะแม้นักท่องเที่ยวมาเลเซีย จะแซงจีนขึ้นมาเป็นอันดับ 1 โดยล่าสุดอยู่ที่ 2.36 ล้านคน ส่วนจีน อยู่ที่ 2.32 ล้านคน แต่มาเลเซียก็ยังการใช้จ่ายก็ยังน้อยกว่ามาก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนมีระยะเวลาพำนัก 7.36 วัน และการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป 42,428 บาท ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศขณะที่นักท่องเที่ยว มาเลเซีย มีระยะเวลาพำนัก 4.17 วัน เพราะอยู่ใกล้ไทย และใช้จ่าย 21,450 บาท
ขณะที่ตลาดที่มีการเติบโต ก็ยังมีอินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แม้ตลาดระยะไกล จะมีการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปอยู่ที่ 81,482 บาท สูงกว่าตลาดระยะใกล้ ซึ่งอยู่ที่ราว 5 หมื่นบาทต่อทริป แต่ด้วยจำนวนที่น้อยกว่ามาก มีสัดส่วน 28 % ก็ไม่เพียงพอจะทดแทนกันได้อย่างเต็มที่ประกอบกับการชลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ก็ทำให้แม้นักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกล จะยังเดินทางเที่ยวไทยอยู่ แต่ก็อาจจะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
ล่าสุดจากข้อมูลการจองล่วงหน้าในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.นี้ ยังคงพบว่า ตลาดระยะไกล ยังคงเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนักท่องเที่ยวยุโรป อเมริกา แอฟริกา ยกเว้นตลาดตะวันออกกลาง ที่ลดลง 9 % จากปัญหาสงครามก่อนหน้านี้ที่เกิดขึ้น และในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังพบว่ายอดจองล่วงหน้าของตลาดระยะไกลเติบโตทุกตลาด
ดังนั้นตลาดระยะไกลจึงไม่น่าเป็นห่วง เหมือนตลาดระยะใกล้ โดยเฉพาะตลาดจีน ที่นับจากนี้ก็ยังคงชลอตัว ประเมินได้จากยอดการจองที่นั่งบนเครื่องบินล่วงหน้าซึ่งอยู่ที่ 1.09 แสนที่นั่ง ลดลง 40% หากเทียบกับจำนวนที่นั่งบนเครื่องบินเข้าไทยโดยรวมที่กลับมาฟื้นตัวในระดับ 78 % เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19
วันนี้ไทยไม่เพียงมีปัญหาด้านภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยในสายตานักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้น โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น และเวียดนาม ซึ่งการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้คนจีนไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้น โดยล่าสุดมีคนจีนไปเที่ยวญี่ปุ่นแล้วกว่า 3.1 ล้านคน สูงกว่าไทยไปแล้ว รวมถึงหากเทียบกับเงินบาทที่แข็งค่า คนจีนก็เลือกไปเที่ยวเวียดนามเพิ่มขึ้น
ทางออกในเรื่องนี้ททท.จะเน้นการเพิ่มความถี่ในการเดินทาง เพื่อเพิ่มวันพักเฉลี่ย และกระตุ้นการใช้จ่ายของตลาดระยะสั้นให้เพิ่มขึ้น ส่วนตลาดระยะไกล จะเน้นการร่วมมือกับสายการบิน เดินหน้ากลยุทธแอร์ไลน์ โฟกัส และเดินหน้ากระตุ้นท่องเที่ยวภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจ ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านออนไลน์ ทราเวล เอเย่นต์ หรือ OTA การส่งเสริมให้เที่ยวบินเช่าเหมาลำ และเที่ยวบินประจำเพิ่มความถี่ และเปิดเส้นทางบินใหม่จากรองระดับเทียร์ 2 เข้าไทยมากขึ้น และการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นด้านการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน
ต่อเรื่องนี้นายยุทธศักดิ์ สุภสร อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า แนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยในปีนี้ มองว่าทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้ น่าจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และพฤติกรรมการใช้จ่ายก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกที่เข้าสู่ช่วงตกต่ำ แม้จะมีสัญญาณหรือแนวโน้มเชิงบวกจากตลาดนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ที่สามารถเข้ามาทดแทนจำนวนและรายได้จาก เอเชียใต้ ยุโรป อเมริกา และตะวันออกกลางก็ตาม
แต่ตลาดจีนมีความสำคัญ โดยต้องเร่งทำตลาดเชิงรุกอย่างเร่งด่วน การนำนักท่องเที่ยวจีนกลับมา 1 ล้านคนของนักท่องเที่ยวจีนที่เพิ่มขึ้น หมายถึง เม็ดเงิน 40,000-50,000 ล้านบาท ที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ไทยจึงต้องเร่งแก้ปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัย การนำเสนอจุดขายใหม่ๆและการใช้ประโยชน์จากโปรโมชัน หรือข้อเสนอพิเศษที่เน้นความคุ้มค่าเป็นสำคัญ ในการสร้างโอกาสดึงนักท่องเที่ยวจีน นายยุทธศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย