นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบโครงการและรายการงบกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวน 110,000 ล้านบาท จากกรอบวงเงิน 157,000 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอมา
โดยเป็นงบของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ 10,052 ล้านบาท รวม 420 โครงการมุ่งเน้นการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยว พัฒนาระบบอำนวยความสะดวก และเพิ่มความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยว คาดว่าจะเพิ่มนักท่องเที่ยวกว่า 2.76 ล้านคน สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 55,059 ล้านบาท
หลักๆจะนำมาใช้ในโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ก็อยู่ในงบประมาณดังกล่าว โดยมีการตั้งงบประมาณไว้ในวงเงิน 1,760 ล้านบาท โดยสัปดาห์ที่แล้ว ททท. เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการล่วงหน้า และเตรียมจะเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน และจองโรงแรม ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.นี้.
รวมถึงการสนับสนุนชาร์เตอร์ไฟล์ 750 ล้านบาท สนับสนุน OTA ทั้งในประเทศและต่างประเทศ 800 ล้านบาท การดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว 1,100 ล้านบาท การพัฒนาเส้นทางท่องเที่ยวเชื่อมเมืองหลักเมืองรองของกรมทางหลวง 3 พันล้านบาท
โครงการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว 300 ล้านบาท โครงการสร้างภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นประเทศไทยเพื่อการท่องเที่ยว “trusted Thailand” 300 ล้านบาท แผนงานประชาสัมพันธ์กระตุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ปี 2568 วงเงิน 120 ล้านบาท
โครงการประชาสัมพันธ์สร้างกระแสการเดินทางของกลุ่มนักท่องเที่ยวศักยภาพ 80 ล้านบาท โครงการกระตุ้นการกระจายตัวเดินทางท่องเที่ยวเมืองหลักและเมืองน่าเที่ยวเชียงใหม่-ลำพูน (night market ) 150 ล้านบาท เป็นต้น
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) กล่าวว่า ททท.ได้รับงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 3,800 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการกระตุ้นการท่องเที่ยว โดยจะนำมาใช้ในโครงการ"เที่ยวไทยคนละครึ่ง"ซึ่งผ่านครม.แล้ว
ทั้งนี้ประโยชน์จากโครงการ และผลกระทบด้านเศรษฐกิจ เที่ยวไทยคนละครึ่งคาดว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางจากโครงการไม่น้อยกว่า 100,000 คนสร้างรายได้ให้แก่ภาคธุรกิจท่องเที่ยวกว่า 14,125 ล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มขึ้น 2.67 ล้านคน/ครั้ง (เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกัน ก.ค.-ต.ค.) สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจโดยรวมกว่า 35,033 ล้านบาท การจ้างงานกว่า 40,669 คน ภาษีที่ภาครัฐได้รับกว่า 1,863 ล้านบาท
นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าครม.ผ่านงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.1 แสนล้านบาท เป็นสิ่งที่ดีที่จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจากนี้รัฐบาลควรต้องเร่งให้เกิดการดำเนินโครงการต่างๆโดยเร็ว กระจายเงินจากภาครัฐไปสู่ผู้รับเหมา เพื่อในท้ายที่สุดก็จะเกิดการจ้างงาน และเกิดการนำเงินไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยเชื่อว่าจะเกิด Multiplier Effect (การทวีคูณของรายได้) ไม่ต่ำกว่า 3-4 เท่า
อีกทั้งยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันทั้งเรื่องไทย-กัมพูชา สงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่มีสหรัฐอเมริกามาเกี่ยวด้วย ที่แม้สหรัฐอเมริกา จะออกมาประกาศว่าจะหยุดสงครามได้ ก็อาจจะไม่ 100% อิหร่านก็อาจยังไม่หยุด แต่ก็หวังว่าสถานการณ์ที่ดีขึ้น หรืออาจไม่เลวร้ายไปกว่านี้ ดังนั้นเมื่องบกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านครม.แล้ว
ประกอบกับการปรับครม.ก็ชื่อว่าเสถียรภาพทางการเมืองก็ยังเกิด แต่จะยาวหรือสั้นก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะอย่างน้อยการมีรัฐบาล ก็ทำให้การพิจารณา งบประมาณ ปี 2569 ไม่เกิดการล่าช้าเหมือนงบประมาณ ปี 2568 อย่างในอดีต
อีกทั้งแม้จะเกิดกรณียื่นทอดถอนนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ก็เชื่อว่าตามกระบวนการก็ต้องมีการคัดเลือกนายกฯคนใหม่ เอกชนยังมั่นใจแม้เสียงก็ยังเกินครึ่ง อยากให้ไปต่อปรับครม.ประเทศเดินหน้า เศรษฐกิจ และธุรกิจก็ไม่ได้
รวมไปถึงการตอบโจทย์ความมั่นคงโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทางเศรษฐกิจเราเติบโตอย่างไม่มีความกังวล มั่นคงทั้งในประเทศ และภาพนอกประเทศ ถ้าเรามั่นคง เรื่องเศรษฐกิจก็จะตามมา
นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่าการเร่งอนุมัติงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยกระตุ้นการลงทุน และท่องเที่ยว ซึ่งในงบนี้เป็นของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ 3 พันกว่าล้านบาท ก็จะช่วยกระตุ้นตลาดในประเทศ ผ่านโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง และดึงตลาดต่างประเทศ ผ่านโครงการดึงเที่ยวบินเช่าเหมาลำเข้าไทย มาพยุงบรรยากาศการท่องเที่ยวให้มีแรงดึง เศรษฐกิจภาคอื่น ๆ ได้ต่อไป