AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network ดันสนามบินสุวรรณภูมิฮับโลจิสติกส์

23 พ.ค. 2568 | 03:41 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2568 | 03:49 น.

AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network เสริมแกร่งระบบขนส่งสินค้า ยกระดับสนามบินสุวรรณภูมิ ดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์ภูมิภาค

ล่าสุด บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท. เปิดโครงการสร้างความร่วมมือการดำเนินงานในเขตปลอดอากรและคลังสินค้า: Cargo Network ประจำปีงบประมาณ 2568 โดยมีผู้แทนจากภาครัฐ สมาคมด้านโลจิสติกส์ และพันธมิตรจากต่างประเทศ เช่น Hong Kong Air Cargo Terminals Limited และ Hong Kong Logistics Association เข้าร่วมงานฯ

AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network ดันสนามบินสุวรรณภูมิฮับโลจิสติกส์ AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network ดันสนามบินสุวรรณภูมิฮับโลจิสติกส์

นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) เปิดเผยว่า โครงการ Cargo Network ครั้งนี้มี ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการยกระดับระบบขนส่งสินค้าทางอากาศของประเทศ

โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านโลจิสติกส์ (Air Cargo Ecosystem) 
ที่ทันสมัย ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศ และการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจระดับโลก 

ปวีณา จริยฐิติพงศ์

หนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโครงการฯ คือการส่งเสริมรูปแบบการขนส่งสินค้าแบบ Bulk Utilization Program (BUP) คือ การเพิ่มความสามารถในการรองรับสินค้า นำส่งสินค้าไปยังอากาศยานมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยลดต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ของผู้ประกอบการขนส่งสินค้าในระยะยาว 

ทั้งนี้ AOT ได้สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยใช้ระบบ BUP ร่วมกับคลังสินค้าหลักของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ คลังสินค้าบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) คลังสินค้าบริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด ซึ่งรูปแบบการขนส่งสินค้า BUP เป็นมาตรฐานระดับสากลที่ประสบความสำเร็จแล้วในสนามบินชั้นนำ 

AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network ดันสนามบินสุวรรณภูมิฮับโลจิสติกส์

เช่น ท่าอากาศยานฮ่องกง และท่าอากาศยานชางงี สิงคโปร์ โดย AOT ได้นำมาปรับใช้เพื่อยกระดับศักยภาพท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคและระดับโลก 

AOT รุกสร้างเครือข่าย Cargo Network ดันสนามบินสุวรรณภูมิฮับโลจิสติกส์

นอกจากนี้ AOT ยังวางแผนพัฒนาพื้นที่ว่างขนาด 58,000 ตารางเมตร ข้างคลังสินค้าหลังที่ 4 เพื่อจัดตั้งเป็น “Mixed-Use Logistic Center” รองรับกิจกรรมขนส่งยุคใหม่ เช่น ธุรกิจ e-commerce และระบบจัดส่งแบบ Smart Logistics ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนจากทั่วโลก และผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์อากาศของอาเซียนอย่างแท้จริง