ไทยปักธงท่องเที่ยวยั่งยืน สวนทางโรงแรมไทย เพิ่งได้มาตรฐานยั่งยืนโลกไม่ถึง 1 %

17 พ.ค. 2568 | 22:00 น.

ชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าผลักดันการท่องเที่ยวยั่งยืน ซึ่งเป็นเทรนด์สำคัญของการท่องเที่ยวโลก แต่ปัญหาในขณะนี้ คือ ธุรกิจโรงแรมไทย กลับมีไม่ถึง 1% ที่ได้รับมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก เป็นปัญหาที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน

จากข้อมูลการเสวนา Thailand Tourism Forum 2025 ในหัวข้อ “Will Travelers Pay for a Better World? Rethinking Value in Responsible Tourism” (นักท่องเที่ยวยอมจ่ายเพื่อโลกที่ดีกว่าหรือไม่? นิยามใหม่ของคุณค่าในยุคท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ) ในมุมมองของกูรูท่องเที่ยว ระบุชัดเจนว่าแนวโน้มการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบมาแรง

โดยนักท่องเที่ยวไทย 65% ยอมจ่ายเพิ่ม เพื่อธุรกิจที่มีนโยบายด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมสวนทางกับโรงแรม ในประเทศไทยที่ได้รับมาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก มีไม่ถึง 1% ทั้งๆที่รัฐบาลมีนโยบายที่จะผลักดันการท่องเที่ยวไทยไปสู่ความยั่งยืน และยกระดับให้ไทย ก้าวสู่ความเป็น World Class Destination

ไทยปักธงท่องเที่ยวยั่งยืน สวนทางโรงแรมไทย เพิ่งได้มาตรฐานยั่งยืนโลกไม่ถึง 1 %

+ ดันท่องเที่ยวยั่งยืนควบคู่การสร้างรายได้

นายจักรพล ตั้งสุทธิธรรม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เผยว่า นโยบายกระทรวงการท่องเที่ยวฯ มุ่งเน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว การแก้ปัญหามลพิษจาก PM 2.5 และ พัฒนาการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศ

เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นเครื่องยนต์หลัก ในการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ โดยวางนโยบายผลักดันให้ไทยเป็น World Class Destination พร้อมประกาศให้ปีนี้เป็น “ Amazing Thailand Grand Tourism & Sports Years” เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาให้มากขึ้น

โดยกระทรวงฯมุ่งขยายตลาดท่องเที่ยวในประเทศ และสนับสนุนการเดินทางโดยเครื่องบินเช่าเหมาลำบินตรงเข้าไทยมากขึ้น (charter flights) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งปี

นอกจากนี้ยังได้ย้ำถึงการสร้างความยั่งยืนในแหล่งท่องเที่ยวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีอยู่แล้ว และการสร้างแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อให้ตอบโจทย์การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน พร้อมกับการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม

ส่วนปัญหาด้านมลพิษจาก PM 2.5 เป็นอุปสรรคสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวในไทย ขณะนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อหาทางแก้ไขปัญหานี้ และส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม

กระทรวงฯยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยว โดยร่วมมือกับกระทรวงคมนาคมพัฒนาเส้นทางเชื่อมแหล่งท่องเที่ยว เช่นการเชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวในเชียงใหม่ 7 แห่งและยกตัวอย่างประเทศภูฏานที่มีการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติ

+ PATA แนะท่องเที่ยวไม่ได้แค่ขายบริการแต่ขายเวลา

นายนัวร์ อาหมัด ฮาหมิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) สมาคมการท่องเที่ยวเอเชียแปซิฟิก (PATA) มองว่าบทบาทของ PATA มุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบและยั่งยืน มาตั้งแต่ก่อนที่สหประชาชาติจะตั้งเป้าหมายความยั่งยืน 17 ข้อ

โดย PATA มุ่งเน้นการท่องเที่ยวที่สามารถรักษาสมดุลทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม การท่องเที่ยวแบบรับผิดชอบถือเป็นส่วนหนึ่งใน DNA ของ PATA และทุกคนในองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

โดย PATA ย้ายสำนักงานจากสหรัฐฯมาอยู่ที่ประเทศไทย เพื่อมุ่งเน้นการตอบโจทย์กับความท้าทายและมุมมองเชิงบวกของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาค ซึ่งครอบคลุมไปถึงตลาดการท่องเที่ยวที่มีกลุ่มลูกค้าใหญ่มากกว่า 4,000 ล้านคนในทวีปเอเชีย จากจำนวนประชากร 8,000 ล้านคนทั่วโลก

“สิ่งสำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว คือ การรักษาความปลอดภัยและเวลา นักท่องเที่ยวต้องการความปลอดภัยในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไปเยือน และไม่อยากเสียเวลาในระหว่างการเดินทาง ซึ่งเวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว

การท่องเที่ยวในปัจจุบันไม่ใช่แค่การขายบริการหรือการท่องเที่ยว แต่เป็นการ ‘ขายเวลา’ ของนักท่องเที่ยว ซึ่งหากอุตสาหกรรมสามารถเข้าใจและตอบสนองความต้องการนี้ได้ ก็จะสามารถเพิ่มความพึงพอใจและทำให้ตลาดการท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืนได้” นายฮาหมิด กล่าว

+ โรงแรมไทย 99% ยังไม่ได้มาตรฐานยั่งยืนโลก

แม้การท่องเที่ยวยั่งยืนจะเป็นเป้าหมายสำคัญ แต่หนึ่งในกลไกหลักของภาคเอกชน ที่จะมีส่วนในการขับเคลื่อนในเรื่องนี้ ดูเหมือนจะการตอบสนองในเรื่องนี้ไม่มากนัก

“อลิสรา ศิวยาธร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงแรม ศิวาเทล กรุงเทพ มองว่า การปรับโรงแรมให้สอดคล้องกับแนวทางความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อมีมาตรการจากภาคประชาคมโลก เช่น การออกมาตรการในยุโรปที่จะเริ่มใช้ ซึ่งจะส่งผลต่อตลาด B2B โดยเฉพาะการจัดงานไมซ์ ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะกลายเป็นปัจจัยในการตัดสินใจของลูกค้าฝั่งองค์กร ในการเลือกโรงแรมที่มีมาตรฐานความยั่งยืน

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจของ SCB ระบุว่า โรงแรมไทยที่มีมาตรฐานความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับระดับโลกมีเพียง 109 แห่ง จากทั้งหมดในประเทศ คิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของโรงแรมทั้งหมดในประเทศไทย สำหรับมาตรฐานความยั่งยืน ที่ได้รับการยอมรับระดับโลก ที่มีอยู่ประมาณ 6 มาตรฐาน อาทิ GSTC, Earthcheck, Green Globe

สำหรับในกรุงเทพฯ ตอนนี้มีโรงแรมเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับการรับรองในเรื่องความยั่งยืนจากบุ๊คกิ้งดอทคอม โดยโรงแรมที่มีมาตรฐานนี้จะสามารถแสดงผลในฟิลเตอร์การค้นหา สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการที่พักที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมโรงแรมไทย ยังคงมีช่องว่างในการพัฒนา โดยเฉพาะในด้านการลดการใช้พลังงานและน้ำ รวมถึงการจัดการขยะและการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม

การดำเนินธุรกิจโรงแรมที่มุ่งเน้นความยั่งยืนไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ของลูกค้าต่างชาติ แต่ยังช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนในประเทศและสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน โดย โรงแรม ศิวาเทล กรุงเทพ ใช้เวลากว่า 8 ปีในการพัฒนาและเก็บข้อมูลเพื่อสร้างความยั่งยืน ทั้งในแง่ของการสนับสนุนเกษตรกรและชุมชน

“การปรับตัวให้สอดคล้องกับความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นที่โรงแรมไทยทุกแห่งต้องปรับตัวตาม โดยเฉพาะเมื่อการค้นหาที่พักจากระบบ AI และฟิลเตอร์การค้นหาจากบุ๊คกิ้งดอทคอมจะคัดกรองโรงแรมที่ไม่มีมาตรฐานความยั่งยืนออกจากการเลือกทันที

และโรงแรมไทยต้องลงทุนในการปรับตัวให้ทันกับมาตรฐานสากล เพื่อไม่ให้พลาดโอกาสทางธุรกิจ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศที่ลูกค้าจะเลือกเข้าพักในโรงแรมที่มีความยั่งยืนและเชื่อถือได้” ซีอีโอโรงแรม ศิวาเทล กรุงเทพ กล่าวทิ้งท้าย

+ นักท่องเที่ยวไทยยอมจ่ายเพิ่ม เพื่อสิ่งแวดล้อม

นายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตลาดการท่องเที่ยวมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เริ่มตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปี 2567-2568 ซึ่งข้อมูลที่เก็บมาจากโพสต์ของนักท่องเที่ยวไทยพบว่า

มีการรับรู้และความสนใจในประเด็นการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องขยะและพลาสติก ซึ่งมีการพูดถึงในกว่า 6,800 ข้อความ และมีการมีส่วนร่วมในกว่า 1,200,000 engagement จากผู้ใช้โซเชียลมีเดีย และจากการสำรวจพบว่า 65% ของนักท่องเที่ยวไทยยอมจ่ายเพิ่มขึ้น หากมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดย 62% ยอมจ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลาสติก

อย่างไรก็ตาม การนำแนวทางนี้มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจการท่องเที่ยวยังคงมีข้อท้าทายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ประกอบการ เพราะเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจริง นักท่องเที่ยวบางส่วนยังคงเลือกสิ่งที่มีราคาถูกกว่า เช่น การใช้หลอดพลาสติกหรือของที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหากไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่า

แต่ขณะเดียวกันผู้บริโภคยังคงต้องการการช่วยเหลือจากผู้ประกอบการในการเลือกสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่มีความสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั่นเอง


หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,097 วันที่ 18 - 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2568