พล.อ.อ.มนัท ชวนะประยูร ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) หรือ กพท. และประธานคณะกรรมการเอวิเอชั่น ฮับ ด้านศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน MRO เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การคิกออฟเอวิเอชัน ฮับ ของประเทศไทย หนึ่งในบทบาทสำคัญ คือ การผลักดันให้เกิดโครงการศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance Repair and Overhaul) หรือ MRO ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
โดยล่าสุดได้มีการหารือร่วมกันระหว่าง AOT ในฐานะเจ้าของพื้นที่ รวมถึงภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อขับเคลื่อนโครงการ MRO นี้ ซึ่งปัจจุบันสนามบินสุวรรณภูมิเปิดดำเนินการมาแล้ว 19 ปี แต่ยังขาดศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานที่ครบวงจร การมีศูนย์ซ่อมก็จะเป็นองค์ประกอบหนึ่งในการขับเคลื่อนความเป็นเอวิเอชั่นฮับได้
“แผนแม่บทการพัฒนาสนามบินสุวรรณภูมิได้มีการกำหนดพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับศูนย์ซ่อมอากาศยานไว้แล้ว แต่ก็ยังต้องมีการจัดทำผังแม่บทเฉพาะสำหรับ MRO เพื่อให้การวางแผนสอดคล้องกับความต้องการและฟังก์ชันการใช้งานจริง และทำให้เครื่องบินที่ทำการบินเข้าสนามบินสุวรรณภูมิ มีทางเลือกในการซ่อมบำรุงอากาศยาน”
พล.อ.อ.มนัท ยังกล่าวว่า โครงการ MRO สนามบินสุวรรณภูมิ จะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้ประกอบการไทยเป็นผู้นำหลักในการดำเนินการ โดยมีผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจซ่อมเครื่องบินต่างก็แสดงความสนใจเข้าร่วมโครงการ
ขณะเดียวกันยังได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการระดับโลกหลายราย ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ระดับโลกอย่างโบอิ้งและแอร์บัสได้แสดงความสนใจเข้าร่วมลงทุนในโครงการศูนย์ซ่อมอากาศยาน (MRO) ที่สุวรรณภูมิแล้ว
ขณะที่บริษัท ST Engineering ยักษ์ใหญ่ด้านการซ่อมบำรุงอากาศยานจากสิงคโปร์ ก็ได้แสดงท่าทีสนใจที่จะย้ายฐานจากท่าอากาศยานชางงีมายังสุวรรณภูมิหากโครงการเกิดขึ้นจริง
“ผมได้พูดคุยกับผู้บริหารของ ST Engineering เมื่อครั้งที่ไปสิงคโปร์เมื่อปีที่แล้ว ST สนใจย้ายศูนย์ซ่อมจากชางงีมาอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากค่าเช่าพื้นที่ที่สิงคโปร์แพงขึ้นเรื่อยๆ และทางสนามบินชางงีเองก็มองว่าพื้นที่นั้นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าการเป็นโรงซ่อมเครื่องบิน”
ทั้งนี้ MRO สนามบินสุวรรณภูมิ ไอเดียผมมองว่าควรจะให้มีผู้ประกอบการไทยเป็นหลักในการดำเนินโครงการนี้ โดยที่ทุกบริษัทที่สนใจ สามารถเข้าร่วมอยู่ภายใต้โครงการนี้ เพื่อแชร์ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน ไม่ใช่แต่ละบริษัทแยกกันทำและมาแข่งขันตัดราคากันเอง ซึ่ง MRO สนามบินสุวรรณภูมิ จัดว่าเป็นโครงการระยะยาว ดังนั้นหากเราเปิดตัวก่อนว่าพร้อมเดินหน้า ก็จะทำให้ดึงคนที่สนใจเข้ามาลงทุน
ส่วนข้อกังวลว่า หากมีการผลักดันให้เกิดศูนย์ซ่อมที่สนามบินสุวรรณภูมิ จะมาแข่งกับศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานอู่ตะเภานั้น คงไม่ใช่ เพราะจะต้องมีการวางแผนร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนซ้ำซ้อน โดยศูนย์ซ่อมที่สุวรรณภูมิจะเน้นงานซ่อมระดับต้นและระดับกลาง อย่าง เช็คอัพ และ Line Maintenance ซึ่งใช้เวลาไม่นาน
ส่วนศูนย์ซ่อมที่อู่ตะเภา จะเน้นงานซ่อมระดับ Overhaul ที่ต้องใช้เวลาซ่อมนาน และต้องการพื้นที่จอดเครื่องบินนานกว่า เพราะสนามบินสุวรรณภูมิมีปริมาณการจราจรทางอากาศที่หนาแน่น การจะนำเครื่องบินไปจอดซ่อมเป็นเวลานาน จะไม่สะดวก
อีกทั้งเรื่องสำคัญที่สุดของการพัฒนาศูนย์ซ่อมเครื่องบิน คือ บุคลากร โดยเฉพาะช่างซ่อมเครื่องบิน ซึ่งศูนย์ฝึกอบรม จะมีส่วนสำคัญในการผลิตช่างซ่อมเครื่องบินให้เพียงพอต่อความต้องการของอุตสาหกรรมนี้
ทางคณะกรรมการฯก็จะผลักดันให้เกิดโครงการ “ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรการบิน” ในสนามบินสุวรรณภูมิด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรการบินแบบครบวงจร ทั้งนักบิน พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน และช่างซ่อมเครื่องบิน ซึ่งคล้ายๆกับโมเดลของออล นิปปอน แอร์เวย์ส หรือ ANA ที่ทำศูนย์ฝึกอบรมขนาดใหญ่ ที่ประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้โครงการศูนย์ฝึกอบรมบุคคลากรการบินก็ได้รับความสนใจจากสายการบินหลายแห่ง เนื่องจากปัจจุบันการฝึกอบรมบุคลากรด้านการบินอยู่กระจัดกระจาย ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูง บางสายการบินก็ไม่มีศูนย์ฝึกอบรม ดังนั้นศูนย์ฝึกรวมจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตบุคลากร โดยศูนย์ฝึกอบรมนี้ทอท.ก็เปิดการลงทุนในแบบ PPP เช่นเดียวกัน
รวมไปถึงการส่งเสริมให้เกิดการลงทุน อาคารการบินทั่วไป (General Aviation) ที่สนามบินสุวรรณภูมิเช่นกัน เพื่อรองรับเที่ยวบินไม่ได้มีเส้นทางบินประจำ ซึ่งก็จะเปิดการลงทุนในแบบ PPP เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน CAAT ยังผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการร่วมทุน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยสามารถจัดตั้งสายการบินขนส่งสินค้า (แอร์คาร์โก้) ได้ง่ายขึ้น โดยการลดสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในด้านการขนส่งทางอากาศ ซึ่งมีแผนส่งเสริมธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศ (Air Cargo)ให้เกิดผู้ประกอบการไทยรายใหม่ๆเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมากจากปัจจุบันผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางอากาศสัญชาติไทยยังมีจำนวนน้อยมาก
CAAT จึงมีแนวคิดที่จะพิจารณาทบทวนข้อกำหนดเรื่องสัดส่วนการถือหุ้นของคนไทยที่ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 51% ซึ่งเห็นควรว่าน่าจะลดสัดส่วนการถือหุ้นลง หรือการผ่อนปรนข้อกำหนดลงเพื่อให้ผู้ประกอบการมีโอกาสในการรวบรวมทุน และค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนเงินทุนแบบขั้นบันได จนเติบโตเป็นสายการบินขนส่งสินค้าสัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์
“หากยังคงข้อกำหนดสัดส่วนแบบเดิม เชื่อว่าคงเกิดยาก เบื้องต้นเริ่มแรกอาจปรับเป็นสัดส่วนคนไทยถือหุ้น20% และให้เวลา 5 ปี ต้องปรับเพิ่มขึ้นเป็น 30% ในลักษณะซื้อหุ้นเพิ่มทุน จนในที่สุดต้องปรับเพิ่มสัดส่วนเป็น100%”
ขณะนี้ CAAT อยู่ระหว่างศึกษาเรื่องดังกล่าว และพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี จะได้เห็นผลการดำเนินงานที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ธุรกิจขนส่งสินค้าทางอากาศ เป็นธุรกิจที่ดำเนินการได้ทั้งขาเข้า และขาออก จึงต้องทำให้การขนส่งสินค้าทั่วโลก มามีจุดเปลี่ยน หรือขนถ่ายสินค้าที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จะกลายเป็นฮับในการขนส่งสินค้าทางอากาศ และคนไทยก็จะได้ประโยชน์ เพราะวันนี้จะเห็นว่ามีแต่แอร์คาร์โก้ของต่างชาติ เข้ามาขนส่งสินค้าในไทย ได้ แต่คนไทยจะทำแอร์คาร์โก้ ต้องมีข้อจำกัด ทำให้ธุรกิจไม่โต
หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,094 วันที่ 8 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568