นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ล่าสุดการบินไทย ได้ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลาง เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2568 เพื่อขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการแล้ว หลังจากได้ดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการอย่างเคร่งครัด ทั้งการมีวินัยในการชำระหนี้โดยไม่ผิดกำหนดนัดชำระ มุ่งมั่นสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งเพื่อให้ EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินตามงบเฉพาะกิจการมากกว่า 20,000 ล้านบาท ตามเงื่อนไขการออกจากแผนฟื้นฟูฯ
โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาบริษัทฯ มี EBITDA หลังหักค่าเช่าเครื่องบินอยู่ที่ 41,473 ล้านบาท ตลอดจนทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวก โดยการปรับโครงสร้างทุนผ่านการแปลงหนี้เป็นทุนและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นตามงบการเงินเฉพาะกิจการ ณ สิ้นปี 2567 เป็นบวกที่ 45,495 ล้านบาท
ดังนั้นหลังจากนี้ก็คงต้องรอวันนัดพิจารณาของศาลล้มละลาย โดยคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หรือ ต้นเดือนมิถุนายนนี้ การบินไทยน่าจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้
จากนั้นจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหาร (บอร์ดการบินไทย) ชุดใหม่ 11 คน เลือกประธานกรรมการ และแต่งตั้งกรรมการตรวจสอบ หลังจากนั้นก็จะมีเข้าสู่ขั้นตอนการกลับเข้าไปซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่อไป ตามข้อกำหนดของกลต. เพื่อกลับเข้ามาเทรดอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าจะกลับมาซื้อขายหุ้นได้ในเดือนกรกฏาคมนี้
สิ่งที่บริษัทฯ จะต้องดำเนินการต่อไปหลังจากออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ คือ
นายปิยสวัสดิ์ กล่าวต่อว่า ทิศทางการเติบโตของรายได้ จะสัมพันธ์กับการเพิ่มฝูงบิน โดยตามแผนการบินไทย ได้จัดหาเครื่องบินแอร์บัส A321 นีโอ จำนวน 32 ลำ ที่จะทยอยรับมอบในปลายปีนี้ และโบอิ้ง 787 จำนวน 45 ลำ ที่จะทยอยรับมอบในปี 2570
การบินไทยประเมินว่าจำนวนเครื่องบินปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ซึ่งปลายปีที่แล้วมีเครื่องบินอยู่ที่ 79 ลำ ขณะนี้มี 77 ลำ เพราะมีเครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ER เกษียณอายุไป 2 ลำ แต่จะมีโบอิ้ง 787 เข้ามาอีก 1 ลำ แอร์บัส 330 ใช้แล้ว เข้ามาอีก 1 ลำ และแอร์บัส 321 นีโอ ก็ทยอยเข้ามาปลายปีนี้ เครื่องบินจึงเพิ่มขึ้นรวมเป็น 80 ลำในปีนี้
การมีจำนวนฝูงบินในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปีนี้ผู้โดยสารแทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่การบินไทยน่าจะบริหารจัดการ ทำให้น่าจะมีรายได้ในปีนี้ตามเป้า 1.8 แสนล้านบาท หรืออาจจะถึง 2 แสนล้านบาทก็เป็นไปได้
รวมไปถึงขณะนี้เมื่อองค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) ประกาศปรับอันดับความน่าเชื่อถือสายการบินของไทยจาก Category 2 ขึ้นเป็น Category 1 ขณะนี้การบินไทยอยู่ระหว่างการศึกษาว่าถ้าจะกลับไปเปิดบินในเส้นทางบินสู่สหรัฐอเมริกาจะคุ้มหรือไม่ ซึ่งจะต้องใช้เครื่องบินลำตัวกว้าง 3 ลำ ซึ่งอาจจะเป็น แอร์บัส 350 หรือ โบอิ้ง 787 จึงจะบินได้ 7 วัน
โดยไม่ใช่บินตรง แต่จะบินจากโอซาก้า เพื่อรับผู้โดยสารไปโอซาก้า และบินไปอเมริกา โดยในแผน 10 ปียังไม่มีบินไปสหรัฐอเมริกา เพราะวางการใช้เครื่องบินไว้หมดแล้ว เพื่อนำมาเพิ่มความถี่ในเส้นทางบินที่มีศักยภาพ เช่น ปารีส หรือการกลับไปบินเวียนนา
แต่หากศึกษาแล้วไปได้ดี ก็จะมีการพิจารณาหากการบินไทยสามารถหาเครื่องบินเข้ามาเพิ่มเติมได้ แต่ก็ยอมรับว่าการจัดหาเครื่องบินลำตัวกว้างในสถานการณ์ขณะนี้ค่อนข้างยาก
ด้านนายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การบินไทย อยู่ในช่วง Take Off โดยเน้นเชื่อมต่อการเดินทาง ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้โดยสาร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันกับสายการบินชั้นนำต่างๆของโลก ซึ่งเดินหน้าลงทุนยกระดับการให้บริการ
ไม่ว่าจะเป็น การสร้างห้องรับรองพิเศษ (เลาจญ์) ภายในอาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่ 1 การจัดหาเครื่องบินรุ่นใหม่ Airbus A321 Neo จำนวน 32 ลำ โดยวิธีการเช่าดำเนินการ ที่จะเข้าประจำการภายในสิ้นปี 2568 นี้
การรับมอบโบอิ้ง 787 (เครื่องบินลำตัวกว้าง) จำนวน 45 ลำ ที่จะทยอยรับมอบในปี 2570 การอัพเกรดเครื่องบินแอร์บัส 320 จำนวน 20 ลำ ที่รับโอนมาจากสายการบินไทยสมายล์ ที่จะแล้วเสร็จในกลางปีนี้ การปรับปรุงอุปกรณ์ภายในเครื่องบินโบอิ้ง 777-300 ER รวมถึงแอร์บัส 350 ที่วางแผนเตรียมจะปรับปรุงในอนาคต
การมีเครื่องบินเพิ่มขึ้นจะทำให้การบินไทยสามารถเพิ่มความถี่ของเที่ยวบิน ในการเชื่อมเครือข่ายการบิน ทำให้กรุงเทพฯเป็นฮับทางการบิน โดยแอร์บัสเอ 321 รองรับ 170 ที่นั่ง ระยะการบินจะอยู่ที่ 5.30 -6 ชั่วโมงสามารถบินไปถึงญี่ปุ่นและจีนตอนใต้ และอาเซียน
ส่วนโบอิ้ง 787 ก็มองว่าน่าจะนำเครื่องบินเข้ามาเพิ่มความถี่ก่อน อาทิ ปารีส หรือ เมืองที่ยังไม่ได้กลับไปบิน เช่น อัมสเตอร์ดัม เวียนนา เป็นต้น ซึ่งการจัดหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 จำนวน 45 ลำ และมีออปชั่นจัดหาเพิ่มอีก 35 ลำ
ทำให้การบินไทยจะทยอยรับมอบในปี 2570 เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของผู้บริหารแผนฟื้นฟู เพราะถ้าสั่งวันนี้การจะได้รับมอบเครื่องบินต้องใช้เวลาอีก 4-5 ปีข้างหน้า เนื่องจากทั้งโบอิ้งและแอร์บัส มีเครื่องบินที่ค้างอยู่ในการผลิตกว่าหมื่นลำ