จากมติการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ในการประชุมผู้ถือหุ้นการบินไทย เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา รายชื่อบอร์ดการบินไทย 11 คน ในจำนวนนี้เป็นตัวแทนจากภาครัฐถึง 7 คน
ส่งผลให้สังคม รวมถึงพนักงานการบินไทย ต่างหวั่นวิตก ถึงอนาคตของการบินไทย ที่แม้จะเป็นบริษัทเอกชนแล้ว แต่บอร์ดกลับไม่ต่างจากสมัยที่การบินไทย ยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจ ทั้งๆที่การบินไทยมีสถานะการเงินที่ดีขึ้น ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ และเตรียมจะยื่นขอยกเลิกการฟื้นฟูกิจการภายในสิ้นเดือนนี้
ที่ผ่านมาก่อนการแต่งตั้งบอร์ดการบินไทย กระทรวงการคลัง ก็พยายามขอเพิ่ม 2 ตัวแทนจากภาครัฐเข้ามานั่งเป็นผู้บริหารแผนฟื้นฟู แต่ศาลล้มละลายกลางไม่เห็นชอบ จึงตกไป กระทั่งการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุด ก็ได้แต่งตั้งตัวแทนจากภาครัฐเข้ามานั่งในบอร์ดการบินไทย จนกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่
ด้วยจำนวนเสียงในบอร์ดที่มีตัวแทนจากภาครัฐเป็นเสียงส่วนใหญ่ จึงมีกระแสที่ส่งสัญญาณในการสนับสนุนให้ นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง นั่งเป็นประธานบอร์ดการบินไทย ในฐานะกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
ทั้งการประชุมในวันดังกล่าว ผู้ถือหุ้นยังใช้สิทธิโหวตจำนวนบอร์ดไว้ที่ 11 คน จากการให้โหวตว่าควรจะเป็น 11 คน หรือ 12 คน ส่งผลให้ นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร ตัวแทนจากสหกรณ์ออมทรัพย์การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ต้องแพ้การโหวตจากเสียงภาครัฐไป
สร้างความไม่พอใจให้ผู้ถือหุ้นกู้ที่มองว่า กลุ่มสหกรณ์ก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นการบินไทย แม้รวมกันจะเป็นเสียงส่วนน้อย แต่ก็อยากเสนอตัวแทนเข้าไปนั่งเป็นบอร์ด การโหวตให้เลือก 11 คนก็เป็นการตัดสิทธิ์ที่เกิดขึ้น
ขณะที่กลุ่มที่ไม่ได้มาจากตัวแทนภาครัฐ รวมถึงพนักงานการบินไทย ก็มองว่า คนที่เหมาะสมจะนั่งประธานบอร์ดการบินไทย ที่สามารถแข่งขันกับ นายลวรณ แสงสนิท ได้คือ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรี และผู้บริหารแผนฟื้นฟู
ขณะที่ นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการ ก็อาจมีสิทธิได้นั่งเป็นประธานบอร์ดบริหาร หรือ Executive Committee หรือบอร์ด X Com หากนายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้นั่งประธานบอร์ดการบินไทย แต่ถ้านายปิยสวัสดิ์ พลาดจากตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย ก็มีโอกาสที่จะนั่งประธานบอร์ด X Com
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การคัดเลือกประธานคณะกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จะต้องรอให้บริษัทฯ ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการก่อน ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ส่วนใครจะได้เป็นประธานกรรมการคนใหม่นั้น ต้องขึ้นกับกรรมการที่ถูกจัดตั้งเข้ามาในวันที่ 18 เมษายน เป็นคนลงมติเลือกกันเอง
ด้านนายกฤษณรัตน์ บูรณะสัมฤทธิ พนักงานบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และอดีตรองประธานสหภาพการบินไทย ได้แสดงความคิดเห็นผ่านสังคมออนไลน์ว่า จากเมื่อมติผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 18 เมษายนออกมาว่า ได้บอร์ด 11 คน โดยเป็นตัวแทนจากภาครัฐถึง 7 คน CEO การบินไทย 1 คน และจากบอร์ดเดิม 3 คน รวมเป็น 11 คน โดยตัวแทนผู้ถือหุ้นรายย่อยและ สหกรณ์ออมทรัพย์ คือ นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร แพ้เสียงจากภาครัฐแบบน่าเสียดาย
ส่งผลให้การบินไทยได้บอร์ดชุดใหม่ที่เหมือนบอร์ดสมัยการบินไทยยังคงเป็นรัฐวิสาหกิจชนิดที่ว่า ถ้าหลับไป 30 ปีตื่นขึ้นมาเห็นตำแหน่งของบอร์ดแต่ละท่าน นึกว่ายังเป็นรัฐวิสาหกิจอยู่เลย ขาดแต่ปลัดคมนาคมกับผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ไม่งั้นครบองค์
สิ่งที่คนมาถามผมมากมายคือ วันนี้เราเป็นเอกชนแล้วไม่ใช่หรือ ทำไมบอร์ดยังเป็นแบบรัฐวิสาหกิจอยู่เลย ผมก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน ทั้งๆที่บอร์ดมีความสำคัญมากต่ออนาคตของบริษัท
คราวนี้มาถึงตำแหน่งประธานบอร์ดการบินไทย ที่สื่อมีการนำเสนอว่าจะเป็น “ลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งชื่อชั้นก็ดี เหมาะสม ไม่มีอะไรเสียหาย (เหมือนประธานบอร์ดในอดีตเลย) แต่ในฐานะพนักงานที่ผ่านช่วงทุกข์ยากแสนสาหัสมา ขอมีมุมมองที่แตกต่างออกไป ซึ่งคนการบินไทยส่วนนึงก็คิดเหมือนกัน
นั้นคือต้องยอมรับว่าการที่การบินไทย ผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากแสนสาหัสมาได้ ก็เพราะคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูนำโดย “ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์” และ CEO “ชาย เอี่ยมศิริ” พร้อมด้วยผู้บริหารและพนักงาน และอดีตพนักงาน ทุกคน ที่ร่วมกันเสียสละ
ต่อสู้ ทำตามนโยบายที่คณะผู้บริหารแผนฯได้คิดและถ่ายทอดนโยบายออกมาให้พวกเราปฏิบัติ จนการบินไทยกลับมายืนได้อย่างมั่นคงและสง่างามหลังจากที่เกียรติภูมิถูกทำลายอย่างย่อยยับก่อนหน้านี้
ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่สำคัญที่จะออกจากแผนฟื้นฟูและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแบบนี้ ไม่ใช่เวลาสำหรับคนที่จะมาเรียนรู้งาน จากประสบการณ์ในอดีตทำให้เราเห็นว่า ความล่าช้าในนโยบายต่างๆเกิดจากความไม่รู้ในธุรกิจการบินที่ซับซ้อนและยากมากเกินกว่าจะเข้าใจในเวลาอันสั้นท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดทั้งโลก
การที่บอร์ดไม่ตัดสินใจในนโยบายที่ถูกนำเสนอ หรือความล่าช้าในการมีมติต่างๆ ได้สร้างความเสียหายกับการบินไทยอย่างมหาศาลจนนำมาสู่การเข้าแผนฟื้นฟูเมื่อ 5 ปีที่แล้ว (27 พฤษภาคม 2563)
ดังนั้นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในการเปลี่ยนผ่านช่วงนี้ ผมว่าควรให้ “ปิยสวัสดิ์”เป็นประธานบอร์ดและ “ชาย” เป็น CEO ไปอีก 1 ปี (“ปิยสวัสดิ์” จะหมดวาระในปี 2569 “ชาย” จะหมดวาระในปี 2570 ) ซึ่งระหว่าง 1 ปีนี้
บอร์ดที่เป็นข้าราชการเกือบทุกคนซึ่งมีความสามารถในสาขาของตน แต่อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจการบินจะได้มีเวลาเรียนรู้และเข้าใจในธุรกิจการบิน ซึ่งต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกการบิน
ในวงการการบิน เราจะรู้ว่าช่วง Take Off และ Landing คือช่วงที่อันตรายที่สุด ตอนนี้เครื่องบินการบินไทยกำลัง Take Off เชิดหัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสวยงาม ขออย่าพากันทำให้หัวเครื่องบินปักลงมาจนเกิดปัญหาในช่วงเวลาที่ยังอ่อนไหวอยู่เลย
เพราะถ้าหัวปักคราวนี้ เราคงหมดแรงจะสู้อีกครั้งแล้ว คนที่ทำหัวปักและรัฐบาลจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนทำให้การบินไทยเข้าสู่วิกฤตอีกรอบ ขอร้องให้เห็นแก่พนักงานที่ร่วมต่อสู้กันมาจนการบินไทยเริ่มฟื้นด้วย
ขณะที่รศ.ดร.ชิดตะวัน ชนะกุล อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานะการเงินของการบินไทยดีขึ้นแล้ว กระทรวงการคลังจึงไม่ควรเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกต่อไป ควรขายหุ้นออกไปให้เอกชนเป็นเจ้าของ 100% เช่นเดียวกับสายการบินของประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก เพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ
เพราะตามหลักทฤษฎีและแนวปฏิบัติสากล อุตสาหกรรมที่ไม่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติ เช่น ธุรกิจการบิน ไม่สมควรให้ภาครัฐเข้าแทรกแซงหรือถือหุ้น เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายหลายด้าน
วันนี้แม้การบินไทยจะไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว แต่กระทรวงการคลังยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ มีอำนาจในการบริหารจัดการ และการแต่งตั้งบอร์ดการบินไทย ทั้ง 11 คน ก็จะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นคนจากภาครัฐ
ขณะที่นายชาติชาย โรจนรัตนางกูร กรรมการ ตัวแทนจากสหกรณ์ออมทรัพย์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำกัด ก็หลุดออกไป และมีกระแสจากข่าวว่า นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง อาจจะได้นั่งเป็นบอร์ดการบินไทย
กระทรวงการคลังอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาล และในอดีตที่การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ ก็ทำให้การบินไทยที่เคยเป็นสายการบินแห่งชาติที่คนไทยภาคภูมิใจ เกิดหายนะ มีหนี้ท่วมเกือบเจ๊งมาแล้ว จากการเมืองเข้ามาแทรกแซงการบริหารงาน
ถ้ากระทรวงการคลังขายหุ้นการบินไทยออกไป จะทำให้การบริหารงานเป็นเอกชน และมีประสิทธิภาพสูงกว่าการที่รัฐฯเข้ามาแทรกแซง
ยกตัวอย่าง ลุฟต์ฮันซ่า สายการบินแห่งชาติเยอรมนี ซึ่งปัจจุบันเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมนีและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรป เป็นตัวอย่างของการแปรรูปจากรัฐวิสาหกิจสู่การเป็นของเอกชน แม้ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ปี 2020 รัฐบาลเยอรมันจำเป็นต้องเข้าถือหุ้น 20% เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาความช่วยเหลือทางการเงิน
แต่เพียง 2 ปีให้หลัง เมื่อสถานะทางการเงินฟื้นตัว รัฐบาลก็ขายหุ้นทั้งหมดออกไป ทำให้ลุฟต์ฮันซ่ากลับมาบริหารโดยเอกชนอย่างสมบูรณ์
ส่วนสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส แม้รัฐบาลสิงคโปร์ถือหุ้นประมาณ 56% ผ่านบริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้ง แต่สิงคโปร์เป็นประเทศสีขาว จากการสำรวจโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ สิงคโปร์เป็นประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชั่นต่ำที่สุด 1/5 ของโลกตลอดมา ดังนั้นนักการเมือง ผู้บริหารประเทศ เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงก็เป็นคนรับผิดชอบชั่วดี มีสำนึก มีความละอาย ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนจากการออกนโยบาย การบริหารสายการบินจึงมีประสิทธิภาพสูง
ขณะที่ไทยอยู่ในอันดับที่ 107 ซึ่งจัดว่าอยู่ในระดับสีเทาเข้ม และปรากฏว่าที่ผ่านมาการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐมักไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศเป็นสําคัญ เพราะว่าผู้ออกนโยบายสาธารณะมักมีผลประโยชน์ทับซ้อน บทเรียนของการบินไทยในอดีตก็เห็นแล้ว
ดังนั้นทางออกที่จะทำให้การบินไทยมีประสิทธิภาพสูงสุด คือ ให้กระทรวงการคลังขายหุ้นออกไป แล้วให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการ และเป็นผู้ตัดสินใจเรื่องการซื้อเครื่องบินเอง เพื่อให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความคุ้มทุนและความสามารถในการทำกำไร และในระหว่างที่ยังไม่ได้ขายหุ้นก็ไม่ควรติดสินใจใดๆในเรื่องเหล่านี้