ธุรกิจหวั่นภาษีทรัมป์ กระทบท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ททท.เร่งปรับกลยุทธ์รับมือ

27 เม.ย. 2568 | 03:53 น.
อัปเดตล่าสุด :27 เม.ย. 2568 | 04:10 น.

ธุรกิจท่องเที่ยว หวั่นภาษีทรัมป์ กระทบท่องเที่ยวครึ่งหลังของปีนี้ หวั่นแอตต้า- สมาคมโรงแรมไทย ชี้การชลอตัวของนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา จะกระทบท่องเที่ยวระดับพรีเมี่ยมในไทย รวมถึงการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีน ททท.เร่งปรับกลยุทธ์รับมือ

แอตต้า-สมาคมโรงแรมไทย หวั่นภาษีทรัมป์กระทบท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง

นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การขึ้นภาษีทรัมป์ ส่งผลกระทบเศรษฐกิจโดยตรง กับตลาดนักท่องเที่ยวหลักของไทย คือ สหรัฐอเมริกา และ จีน ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ที่อาจจะหดตัว หรือ เติบโตช้าทางเศรษฐกิจ

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์

ทำให้รายได้ประชากรลดลง ซึ่งจากการประเมินผลกระทบเบื้องต้น ในแง่ของการค้า จะพบว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

เมื่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมชะลอตัวจากสงครามการค้า รายได้ของผู้คนในประเทศต่าง ๆ ลดลง ทำให้มีแนวโน้มที่นักท่องเที่ยวจะลดการเดินทาง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาไทย เช่น จีน ยุโรป หรือแม้กระทั่งสหรัฐฯ เอง

ส่วนประเทศในเอเชียที่พึ่งพาการส่งออก เช่น จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อาจได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ ซึ่งกระทบต่อกำลังจับจ่ายของประชาชน รวมถึงแผนการเดินทางท่องเที่ยวมายังไทย

ส่วนในแง่ของผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวสหรัฐฯอเมริกาที่มาไทย หากเศรษฐกิจในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีหรือการตอบโต้จากประเทศอื่น เช่น ราคาสินค้าในประเทศแพงขึ้น ค่าเงินอ่อนลง คนอเมริกันจะมีแนวโน้มเดินทางน้อยลง ซึ่งนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ จัดเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง 

การลดลงของกลุ่มนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของธุรกิจท่องเที่ยวระดับพรีเมียมในไทย เช่น โรงแรมหรู ร้านอาหาร fine dining และทัวร์แบบ exclusive รวมทั้ง กลุ่มนักท่องเที่ยวเฉพาะทาง เช่น มาเป็น อาสาสมัคร หรือ กลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม จาก ทุนต่าง ๆ

อย่างไรก็ตามผมยังมองว่าการขึ้นภาษีทรัมป์ มีทั้งโอกาส และผลกระทบต่อการตลาดท่องเที่ยวไทย ซึ่งหากประเทศคู่แข่งด้านการท่องเที่ยว เช่น เวียดนาม มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ได้รับผลกระทบมากกว่า ไทยอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่าในสายตานักท่องเที่ยวบางกลุ่ม 

ขณะเดียวกันด้วยความที่ไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่ (จีน, ญี่ปุ่น, สหรัฐฯ) อยู่มาก ย่อมได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวภายในภูมิภาค ไทยต้องไปหาตลาดอื่นๆ ทดแทนเพิ่มขึ้น เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย หรือ รัสเซีย ดังนั้นเบื้องต้น อาจมีผลกระทบเป้าหมายตัวเลขภาพรวมของการท่องเที่ยวไทย แต่โดยรวมมีแนวโน้มดีกว่าปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากค่าเงินบาทและต้นทุนการดำเนินงาน โดยสงครามการค้าอาจส่งผลต่อค่าเงินบาท (แข็งหรืออ่อนขึ้นอยู่กับสถานการณ์) ซึ่งจะกระทบต่อต้นทุนการเดินทางของนักท่องเที่ยว ถ้าเงินบาทแข็ง การท่องเที่ยวไทยจะแพงขึ้นในสายตาชาวต่างชาติ แต่ถ้าเงินบาทอ่อน จะดีต่อการท่องเที่ยว แต่กระทบต่อการนำเข้าสินค้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เช่น อาหารนำเข้า ของตกแต่ง โรงแรม ฯลฯ

ส่วนธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรง โรงแรมระดับกลาง-บน ที่รองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ บริษัททัวร์ inbound (รับนักท่องเที่ยวเข้าไทย) ร้านค้าปลอดภาษี, ห้างสรรพสินค้า, และร้านอาหารในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา

ขณะที่นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) กล่าวว่า นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ล่าสุด จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวไทย ซึ่งยังต้องจับตามองใน 2 ประเด็น ได้แก่ 

ประเด็นที่ 1 ตลาดนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐอเมริกา มีการนำเข้าสินค้าจากทั่วโลก การขึ้นภาษีก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูงขึ้น ค่าครองชีพในสหรัฐสูงขึ้น ขณะเดียวกันสินค้าที่สหรัฐอเมริกาขาย ก็อาจจะขายได้ลำบากขึ้น เพราะส่วนประกอบต่างๆในการผลิตก็มาจากทั่วโลก เมื่อขึ้นภาษี ต้นทุนก็จะต้องแพงขึ้นตามไปด้วย

เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์

ดังนั้นชาวอเมริกันอาจมองการท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายรอง ลดการเดินทางไกล หรือ อาจเลือกท่องเที่ยวในประเทศ หรือจุดหมายใกล้ๆแทน ก็จะกระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอเมริกาที่เดินทางมาเที่ยวไทย 

ประเด็นที่ 2 ผลต่อเศรษฐกิจโลก เพราะหากเกิดสงครามการค้า ปัญหาเศรษฐกิจลุกลาม กระทบเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลต่อการจ้างงานและรายได้ การท่องเที่ยวในภาพรวมทั่วโลก ก็จะได้รับผลกระทบเมื่อผู้คนมีรายได้ลดลง

อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อการท่องเที่ยวไทย ผมมองว่าระยะสั้น (1-6 เดือน) นี้อาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจน เพราะนักท่องเที่ยวมีการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวไทยล่วงหน้าแล้ว แต่อาจจะมีผลในระยะกลาง หลัง 6 เดือนไปแล้ว หรือหลังจากเดือนกันยายนไปแล้ว เนื่องจากผลกระทบทางเศรษฐกิจที่อาจชัดเจนขึ้น หากมีการเลิกจ้างงานในวงกว้าง

ททท.เร่งปรับกลยุทธรับมือ

 

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ได้ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทยกว่า 36% ทำให้มีความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางน้อยลง ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวตาม

เพราะนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวน้อยลงนั้น ททท.ได้ประชุมร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่งได้เสริมแผนการดำเนินงาน ว่าส่วนใดควรกระตุ้นตลาดเพิ่มเติมอย่างไร

อาทิ ตลาดยุโรปที่เติบโตได้ จะเข้าไปในเมืองอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ จึงยืนยันว่าไม่มีการปรับเป้าหมายภาพรวมการท่องเที่ยวในปีนี้แต่อย่างใด โดยตลาดสหรัฐเป้าหมายยังอยู่จำนวนเกิน 1 ล้านคน แต่จะเน้นบริหารความเสี่ยงจากตลาดระยะใกล้  

ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์

โดยจะมีการปรับเป้าหมายในบางตลาดที่เติบโตได้ดีมากๆ อาทิ ยุโรปใต้ ซึ่งเห็นการเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอิตาลี สเปน และดึงอิสราเอลเข้ามาเที่ยวไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากจัดอยู่ในกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายที่สูงมาก

ด้านตลาดจีนที่มีความกังวลจำนวนการส่งออกนักท่องเที่ยวจีนจะลดลง เพราะการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐนั้น ททท.จะใช้วิธีที่ดีที่สุด เพราะสหรัฐไม่ได้ประกาศขึ้นภาษีแค่ไทย หรือจีนเท่านั้น เป้าหมายตลาดจีนทั้งปียังดูแนวโน้มตลาดภาพรวมอยู่ โดยได้ปรับมาให้ความสำคัญกับกรุ๊ปทัวร์จีนมากขึ้น จากเดิมที่มีการเข้ามาเที่ยวเอง (เอฟไอที) เข้ามาเยอะ 

ขณะนี้จะเน้นทำตลาดย้อนกลับไปในภาพอดีต ดึงตลาดกรุ๊ปทัวร์เข้ามา โดยเฉพาะเมืองที่ยังไม่เคยเข้ามาเที่ยวไทย เมืองในระดับ 2 หรือ 3 นำโมเดลเดิมกลับมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดจีนมากขึ้น และมีการทำงานร่วมกับพันธมิตร หรือทัวร์โอเปอเรเตอร์มากขึ้น เพื่อให้เป็นด่านแรกในการนำเข้ามาเที่ยวไทย จากนั้นนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะกลายเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที)ในอนาคต

ผลจากการปรับขึ้นภาษีทรัมป์ ท่องเที่ยวไทยจะตีตราความคุ้มค่าในการเดินทางเข้ามาเที่ยว โดยเฉพาะความคุ้มค่าเงิน ทั้งสินค้าและบริการ หากเข้ามาจับจ่ายใช้สอยในไทยจะได้รับราคาที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน โดยขอประเมินสถานการณ์ก่อนว่า จะมีการปรับเป้าหมาย หรือกระบวนการทำงาน และพื้นที่ตลาดในด้านใดบ้าง 

อาทิ ตลาดจีนเที่ยวไทย เป้าหมายเชิงนโยบายของปี 2568 อยู่ที่ 8 ล้านคน ส่วนเป้าหมายของ ททท.อยู่ที่ 7.3 ล้านคน โดยกลยุทธ์จะเป็นการร่วมมือกับตลาดเมืองใหม่ๆ ในจีน อาจใช้กลยุทธ์เดิมคือ มุ่งเน้นพันธมิตรเดิมสำหรับตลาดที่ไม่เคยเข้ามาเที่ยวไทย หรือเข้ามาเที่ยวไทยเป็นครั้งแรก.นางสาวฐาปนีย์ กล่าวทิ้งท้าย

ธุรกิจหวั่นภาษีทรัมป์ กระทบท่องเที่ยวครึ่งปีหลัง ททท.เร่งปรับกลยุทธ์รับมือ

หน้า 10 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,090 วันที่ 24 - 26 เมษายน พ.ศ. 2568