“ทีเอชเอ” ตั้งรับอัตราการเข้าพักปี66แตะ 65%

09 ก.พ. 2566 | 10:22 น.

นายกสมาคมโรงแรมไทย “มาริสา”เผยอัตราการเข้าพักยังไม่สมดุล- ยกโรดแมปรัฐบาลสิงคโปร์ตั้งเป้ายกระดับสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนปี 2568 จี้รัฐบูรณาการฐานข้อมูลแบบเรียลไทม์-จัดสรรรายได้จากค่าเหยียบแผนดินหนุนเอกชนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย(ทีเอชเอ) กล่าวในงานสัมมนา “โพสต์ –POST  TODAY” เรื่องอนาคตประเทศไทย Economic Drives #เศรษฐกิจไทย....สตาร์ทอย่างไรให้ก้าวนำโลก ในหัวข้อ “Gear UPกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยระบุว่า ปี2566 WTO คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะฟื้นตัวได้ 80-90% อนิสงค์จากนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางไปทั่วโลก และตลาดใหม่ ซึ่งไทยต้องปรับตัวเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัว  

 

รวมถึงการท่องเที่ยวยั่งยืนจะให้ความสำคัญทั้งโรงแรมและนักท่องเที่ยวสีเขียว การมีซัพพลายเชนหรือเอเยนต์ ขณะที่ปีนี้คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะอยู่ที่ 60-65% โดยปีที่ผ่านมาแม้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามากว่า 11.5ล้านคนแต่ตั๋วเครื่องบินราคาแพงทำให้โรงแรมระดับ 5ดาวที่ได้รับประโยชน์จากอัตราการเข้าพักซึ่งสะท้อนความไม่สมดุล

“ทีเอชเอ” ตั้งรับอัตราการเข้าพักปี66แตะ 65%

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีหลายซัพพลายไซซ์ตั้งแต่ชนบทถึงโรงแรมระดับ 6 ดาว จึงจำเป็นต้องพัฒนาภาคการท่องเที่ยวให้อยู่รอด โดยภายใต้คณะทำงานของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์(สศช.)ได้มีการหารือเรื่องขยายฐานนักท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ประกอบกับโจทย์เรื่องขาดแคลแรงงานโดยเฉพาะแรงงานที่จะต้องสามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มเป็น 80ล้านคนในอีก 5ปีข้างหน้า

“ทีเอชเอ” ตั้งรับอัตราการเข้าพักปี66แตะ 65%

นางสาวมาริสา กล่าวเพิ่มเติมว่า การท่องเที่ยวของไทยติดอันดับระดับของโลก ดังนั้น เรื่องการท่องเที่ยวควรเป็นวาระแห่งชาติของทุกกระทรวงเพื่อบูรณาการ เพราะภาคท่องเที่ยวกว้างขวางครอบคลุมทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคการเกษตร รวมถึงการมีศูนย์การพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืนของประเทศและเป็นศูนย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมถึงเรื่องการจ้างงานในอนาคตที่จะต้องปรับเปลี่ยนทั้งในแง่ของการรองรับแรงงานต่างประเทศและแรงงานไทยที่ไหลออก เหล่านี้ทุกกระทรวงควรมีส่วนร่วมด้วย

ขณะเดียวกันต้องยกระดับเรื่องฐานข้อมูลนักท่องเที่ยวแบบเรียลไทม์ จากปัจจุบันภาคเอกชนยังต้องรอDATAจากกระทรวงการท่องเที่ยวกินเวลาประมาณ 1เดือน ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง(AOT และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง)อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงฐานข้อมูล  รวมถึงการคาดการณ์หรือวิเคราะห์ด้านการท่องเที่ยวได้อย่างแม่นยำจะเอื้อต่อการวางแผนทางการตลาด

พร้อมทั้งได้เสนอให้ทางการจัดสรรรายได้จากการจัดเก็บค่าเหยียบแผ่นดิน 300บาทในเดือนมิถุนายนปีนี้ เพื่อให้ภาคเอกชนใช้ในการพัฒนาขีดความสามารถ เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้ช่องว่างกว้างขึ้นของขีดความสามารถในการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการSME และโรงแรมใหญ่

อีกทั้งยังมีความท้าทายต่อภาคการท่องเที่ยวอีกมากที่รอการยกระดับ หรือพัฒนาแบบบูรณาการ นอกจากการเพิ่มแรงงานคนไทยและจากต่างประเทศเข้ามาในภาคการท่องเที่ยวและบริการ แรงงาน การกระจายรายได้ท่องเที่ยวสู่ชุมชนหรือท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันได้มีการขยายผลโดยองค์กรเอกชนพยายามจัดให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชุมชนเพื่อกระจายรายได้สู่ภาคอื่นๆ

หรือ  มาตรฐานการแข่งขัน รวมถึงโอกาสต่างๆ อยากให้โรงแรมทุกประเภทอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์เดียวกันที่เท่าเทียม รวมถึงการสนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืนหรือ Sustainable Tourism ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์มีเป้าหมายให้ 60%ของจำนวนห้องพักทั้งหมดจะต้องเป็นการท่องเที่ยวยั่งยืนในปี2568

 “ในเชิงปริมาณเมืองไทยมีนักท่องเที่ยวเป็นอันดับ8ของโลก เชิงรายได้ก็ติดอันดับ 4 แต่ปีนี้คาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวจะเข้ามา 2.25แสนล้านบาทจากปีที่แล้วอยู่ที่ 1แสนล้านบาท ส่วนรายได้จากนักท่องเที่ยวคนไทย36%”