AWC-ไมเนอร์-พราวกรุ๊ป อัดงบลงทุน 1.16 แสนล้าน ปรับแผนรับท่องเที่ยวฟื้น

05 ก.พ. 2566 | 07:37 น.

3 บิ๊กทุนไทย เดินแผนลงทุน 1.16 แสนล้านบาท รับท่องเที่ยวฟื้นตัว AWC ปั้นไนท์บาร์ซ่า เชียงใหม่-ส่วนต่อขยายเอเชีย ทีค สร้างจุดขายท่องเที่ยวระดับโลก ด้านไมเนอร์ ขยาย 70 โรงแรมทั่วโลกเข้าพอร์ต พราว กรุ๊ป ปรับแผนลงทุนโรงแรมใหม่ภูเก็ต รับดีมานต์นักท่องเที่ยวเอฟไอทีพุ่ง

จากสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ 3 กลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของไทย เดินหน้าปรับแผนขยายการลงทุน เพื่อขยายพอร์ตธุรกิจต่อเนื่อง ในช่วง 1-5 ปีนี้ มูลค่าการลงทุนร่วม 116,200 ล้านบาทที่จะเกิดขึ้น

AWC-ไมเนอร์-พราวกรุ๊ป อัดงบลงทุน 1.16 แสนล้าน ปรับแผนรับท่องเที่ยวฟื้น

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มทีซีซี (TCC Group) ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดีเปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าในขณะนี้ AWC อยู่ระหว่างการปรับปรุงแผนลงทุน 5 ปี (ปี 2565-2569) วงเงิน 1 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของ AWC รวมกับโกลเบิ้ล พาร์ทเนอร์ ในการสร้าง Attraction ด้านการท่องเที่ยวให้แก่ประเทศไทย เพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ท่องเที่ยวในปัจจุบัน

วัลลภา ไตรโสรัส

โดยตามแผนการลงทุน 5 ปีของ AWC ประกอบไปด้วยโครงการที่อยู่ในการพัฒนาต่อเนื่อง 15 โครงการ มูลค่าลงทุนรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท อาทิ อควาทีค เดอะบีชฟรอนท์ พัทยา ,เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย,บันยันทรี จอมเทียน, พัทยา , พัทยา แมริออท รีสอร์ท&สปา แอท จอมเทียน บีช ,เวิ้ง นครเกษม ที่ต้องปรับแผนการลงทุนให้อยู่ในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ส่วนอีก 40,000 ล้านบาท จะมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งที่ผ่านมามีโรงแรมทยอยเสนอขายเข้ามากว่า 200 แห่ง แต่การจะซื้อหรือไม่ ต้องวิเคราะห์โอกาสการลงทุนที่เกิดขึ้นด้วย อย่างล่าสุด AWC ก็เพิ่งจะซื้อ 2 โรงแรม อย่าง โรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ และ เดอะ เวสทิน สิเหร่ เบย์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ภูเก็ต มูลค่า 8,856 ล้านบาท  

นางวัลลภากล่าวต่อว่าล่าสุดเฉพาะการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในปี2566 นี้ AWC ประมาณการณ์งบลงทุนไว้ราว 1 หมื่นกว่าล้านบาท เกือบจะ 2 หมื่นล้านบาท แต่เราต้องดูโอกาสที่เหมาะในการลงทุน อย่างโปรเจ็กต์ในกรุงเทพฯ ที่ไปเพิ่มซัพพลายเราก็ขยับออกไป แต่โปรเจ็กต์อย่างบางทีที่มีโอกาส พวกโปรเจ็กต์ที่สร้างเดสติเนชั่นให้กับประเทศที่เป็นจุดแข็ง เราก็เดินหน้าต่อ

โดยในปีนี้จะยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยในปีนี้ AWC มีแผนจะเปิดโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล รวมถึงโรงแรมแมริออท เชียงใหม่ เพิ่มเติมจากที่เปิดโรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ไปแล้ว ซึ่งโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล แม่ปิง จะเป็นไฮไลท์ให้กับจังหวัดเชียงใหม่ สร้างเชียงใหม่ให้เป็นควอลิตี้ แอสเสท และพัฒนาสู่ความยั่งยืน รวมทั้งเรายังมีแผนจะพัฒนาพื้นที่บริเวณไนท์บาร์ซ่า เชียงใหม่ เพื่อยกระดับสร้างให้เป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยวในระดับโลกด้วย

ขณะเดียวกันในปีนี้ยังมีแผนลงทุนต่อเนื่องในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ส่วนต่อขยาย ที่ AWC ได้ร่วมมือกับบริษัท เดอะ วอลต์ ดิสนีย์  ในการสร้างกิจกรรมในรูปแบบ Celebration ฉลองครบรอบ 10 ปีของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ในฐานะแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมอย่างมากแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นับตั้งแต่เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2555 เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจของดิสนีย์

ในปีนี้รายได้ของ AWC จะสูงกว่าปี 2562 เนื่องจาก 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1.AWC มีธุรกิจในพอร์ตโฟลิโอเพิ่มขึ้น 2.แนวโน้มการเติบโตของนักท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้นจากปีก่อนหน้า ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันโดยเฉพาะไตรมาสแรกปีนี้ถือว่าดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามาก บางโรงแรมมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย80-90% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19และ3.ราคาค่าห้องพักเฉลี่ยที่สามารถปรับราคาเพิ่มสูงขึ้น บางโรงแรมเพิ่มขึ้นได้กว่า 20-30%

ขณะที่นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ “MINT” กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมในปีนี้ฟื้นตัวดีขึ้นมาก เรามองว่าในปีนี้ธุรกิจจะมีการเติบโตของกำไรอยู่ที่ 10-15% จากรายได้ที่ขยายตัว 20% ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวสูงกว่าปี2562 (ก่อนเกิดโควิด-19)

ดิลลิป ราชากาเรีย

อีกทั้งบริษัทฯยังตั้งงบฯลงทุนในช่วง 3 ปีข้างหน้าไว้ที่ 1-1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อลงทุนบริษัทในเครือโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการร่วมลงทุน (JV) กับกองทุนต่างๆ เพื่อนำเงินมาลงทุนขยายโรงแรมใหม่ให้เติบโตตามแผน

ทั้งบริษัทมีแผนพัฒนาโรงแรม 70 แห่งทั่วโลกในอนาคตโดยส่วนใหญ่เป็นรูปแบบการรับบริหาร ซึ่งในส่วนนี้ใช้เงินลงทุนไม่สูง ขณะเดียวกันยังมองโมเดลขยายโรงแรมผ่านรูปแบบขายแฟรนไชส์ในต่างประเทศอีกด้วย ผ่าน 3 แบรนด์ ได้แก่ โอ๊คส์, เอ็นเอช โฮเทลส์ และอวานี (ยกเว้นแบรนด์อนันตรา) นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เช่นการขายวิลล่าระดับหรูในภูเก็ตเฟส 3 และโครงการอนันตรา สยาม เรสซิเดนซ์ เพื่อขยายเรสซิเดนซ์ระดับโลก

รวมทั้งไมเนอร์ ยังเตรียมจะขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯอัตราดอกเบี้ย 5 ปีแรก 6.10% ต่อปี เปิดจองซื้อวันที่ 7-9 ก.พ.66 ตั้งเป้าระดมทุนที่ 9 พันล้านบาท และกรีนชู ออปชั่น (การจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) อีก 2 พันล้านบาท รวมเป็น 1.1 หมื่นล้านบาท เพื่อใช้ในการชำระหนี้และการบริหารจัดการด้านปฏิบัติการของบริษัท

ด้านนางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท พราว เปิดเผยว่า ในขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับแผนลงทุนในการสร้างโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ อันดามันดา ภูเก็ต ซึ่งเป็นเฟส 2 ของโครงการอันดามันดา ภูเก็ต โดยจะลดจำนวนห้องพักลงจากเดิมที่วางแผนไว้ที่ 300 ห้อง เพื่อเจาะกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนท์ ซึ่งคาดว่าการลงทุนต่อห้องอาจจะสูงขึ้น ใกล้เคียงแผนการลงทุนเดิมที่วางไว้ 1,200 ล้านบาท

พราวพุธ ลิปตพัลลภ

เนื่องจากหลังการเปิดสวนนํ้าอันดามันดา ภูเก็ต จะเห็นว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง(เอฟไอที) มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และได้รับการตอบรับดีมาก จากเดิมคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการเฉลี่ย 400-500 คนต่อวัน แต่ปัจจุบันพบว่ามีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยสูงถึงประมาณ 2,000 คนต่อวัน