ส่งท้ายโควิด"หนองคาย"ปีนี้จัดยิ่งใหญ่"ออกพรรษา-บั้งไฟพญานาค"แม่น้ำโขง

23 ก.ย. 2565 | 08:25 น.

หนองคายจับมือททท.และพันธมิตร จัดงานประเพณีออกพรรษา-บั้งไฟพญานาคปี 2565 นี้สุดยิ่งใหญ่ รับชีวิตวิถีปกติใหม่หลังโควิด-19 โรงแรมหนองคายมียอดจองแล้วกว่า 95 % บึงกาฬชวนเที่ยวชมปรากฎการณ์มหัศจรรย์ลำนำโขงในบรรยากาศเงียบสงบ อุดรธานีเปิดเส้นทางเที่ยวสายมู 24 ชั่วโมง

นางธนภร  พูลเพิ่ม ผู้อำนวนการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานอุดรธานี ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่”กลุ่มนคราธานี” ประกอบด้วย อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ  เปิดเผยว่า ปีนี้ ททท.สำนักงานอุดรธานี ร่วมกับจังหวัดหนองคาย เทศบาลเมืองหนองคาย ภาครัฐ เอกชน ชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดหนองคาย  ร่วมกันจัดงานประเพณีออกพรรษา และเทศกาลบั้งไฟพญานาค ระหว่างวันที่ 10-18 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณชุมชนริมเขื่อนแม่น้ำโขง ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เหมือนเช่นทุกปีที่ผ่านมา ภายใต้มาตรการควบคุมความปลอดภัย 

 

ปีนี้เตรียมกิจกรรมสำคัญหลายรายการ อาทิ การชมปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคริมแม่น้ำโขง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฎการณ์ปาฏิหารย์แห่งความเชื่อถือและศรัทธาของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง ชมการลอยกะโป๊ไฟบูชาพญานาค ส่วนที่เทศบาลตำบลโพนพิสัย กำหนดจัดเทศกาลออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลก ภายใต้สโลแกนปาฏิหาริย์แห่งศรัทธา Miracle of Faith

นางธนภร  พูลเพิ่ม ผู้อำนวนการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานอุดรธานี

ส่งท้ายโควิด\"หนองคาย\"ปีนี้จัดยิ่งใหญ่\"ออกพรรษา-บั้งไฟพญานาค\"แม่น้ำโขง

นางธนภรกล่าวอีกว่า สำหรับงานประเพณีออกพรรษา และเทศกาลบั้งไฟพญานาคหนองคาย ปี 2565 นี้ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ ได้เตรียมพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยว ที่จะเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดหนองคาย ไว้พร้อมแล้ว ทั้งที่พักค้างคืน สถานที่รอชมปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาค ทั้งในเขตเขตเทศบาลเมืองหนองคาย และตามแหล่งชุมชนริมแม่น้ำโขง ตั้งแต่ อ.สังคม ถึง อ.รัตนวาปี  หรือหากว่าต้องการความสงบเงียบก็ สามารถเลือกที่จะไปรอชมได้ที่ อ.บึงโขงหลง จ.บึงกาฬ 
           

นอกจากนี้แล้ว ททท.สำนักงานอุดรธานี  ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยว ได้มาสัมผัสกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์วังนาคินทร์คำชะโนด และเส้นทางท่องเที่ยวสายใหม่ของเมืองอุดรธานี ”มูกลางคืนก็ปัง มูกลางวันก็เฮง” สามารถไปกราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต ได้ตลอดเวลา 24 ช.ม. คือ พระอนุสาวรีย์พลตรีกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ผู้ก่อสร้างเมืองอุดรธานี   องค์พระศรีสุขคเนศ ที่เป็นพระพิฆเนศผสมกับพญานาค 8 กร นาคปรก 9 เศียร ตั้งอยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์เมืองอุดรธานี ศาลเทพารักษ์ ข้างหนองสาธารณะหนองประจักษ์ และท้าวเวสสุวัณ บริเวณศาลพระหลักเมือง และพุทธโพธิ์ทองคู่บ้านคู่เมืองอุดรธานี

ส่งท้ายโควิด\"หนองคาย\"ปีนี้จัดยิ่งใหญ่\"ออกพรรษา-บั้งไฟพญานาค\"แม่น้ำโขง  

ส่งท้ายโควิด\"หนองคาย\"ปีนี้จัดยิ่งใหญ่\"ออกพรรษา-บั้งไฟพญานาค\"แม่น้ำโขง

นางสุกานดา พันธุ์เสือ นายกสมาคมส่งเสริมธุรกิจการท่องเที่ยว จ.หนองคาย เปิดเผยว่า    ในปีนี้จังหวัดหนองคาย โดยเทศบาลเมืองหนองคาย ร่วมกับจังหวัด อบจ.หนองคาย ททท.สำนักงานอุดรธานี ร่วมกันจัดงานเทศกาลวันออกพรรษา ภายใต้ตำนานแสงสีเสียงมหัศจรรย์บั้งไฟพญานาค ที่บริเวณลานพณานาคคู่ ริมแม่น้ำโขงหน้าวัดลำดวน ระหว่างวันที่ 9-18 ต.ค.2565 

 

และร่วมกับเทศบาลตำบลโพนพิสัย จัดงานประเพณีออกพรรษาบั้งไฟพญานาคโลก ปี 2565 ระหว่างวันที่ 10-18 ต.ค.2565 ที่เทศบาลตำบลโพนพิสัย. อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย  โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงานฯ และมีกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีไฮไลท์ ในวันที่ 16 และ 18 ต.ค. 2565  เป็นการแข่งขันเรือยาวประเพณี ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระขนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี

 

ขณะนี้ได้เริ่มเตรียมความพร้อมเอาไว้บ้างแล้ว เช่น ทาง อบจ.หนองคาย ร่วมกับเทศบาลเมืองหนองคายนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวหนองคาย หอการค้าจังหวัดหนองคาย  ภาคเอกขน ร่วมกับชุมชนริมน้ำโขง ในพื้นที่เขตเทศบาลเมืองหนองคาย ร่วมกันจัดทำกระทงกะโป๊(ภาษาอีสาน) ที่ใช้กะลามะพร้าว มาบรรจุเศษเทียนที่จุดบูชาพระจากวัดต่าง ๆ ในเขตเทศบาลเมืองหนองคาย เช่น จากวัดโพธิ์ชัย พระอารามหลวง ที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อพระใส พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคาย นำมาต้มรวมกัน แล้วเทน้ำเทียนใส่กะลามะพร้าว ที่ใส่ไส้เทียนเตรียมไว้   จำนวน 50,000 อัน 

ส่งท้ายโควิด\"หนองคาย\"ปีนี้จัดยิ่งใหญ่\"ออกพรรษา-บั้งไฟพญานาค\"แม่น้ำโขง

โดยในวันออกพรรษาก็จะแจกให้ประชาชนนำเอาไปลอยจากสะพานมิตรภาพไทย-ลาว  ให้ล่องไปตามกระแสน้ำในแม่น้ำโขง  เพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า  และเพื่อเป็นการขอขมาต่อพระแม่คงคา และเพื่อการโปรโมทให้เป็นกิจกรรมประเพณีประจำถิ่น การท่องเที่ยวของจังหวัดหนองคาย ให้ได้รับการบรรจุเข้าไปอยู่ในปฏิทินการท่องเที่ยว ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 

 

นางสุกานดา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ห้องพักตามโรงแรม ในพื้นที่เขตเทศบาลหนองคาย ได้รับการสั่งจองจากนักท่องเที่ยวเกือบเต็มหมดแล้ว ที่ประมาณ 95 %  ซึ่งจังหวัดคาดหมายว่า ในเทศกาลวันออกพรรษาหนองคายในปีนี้   เนื่องจากสถานการณ์ของโควิต-19  อยู่ในสถานการณ์คลี่คลาย จะทำให้มีการนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดหนองคาย เพื่อชมปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาค  และเพื่อเดินทางทำบุญออกพรรษาตามวัดต่าง ๆ ในพื้นที่หนองคายและพื้นที่ใกล้เคียง จะสามารถสร้างรายด้ให้กับทุกพื้นที่อย่างทั่วถึง  

 

ปรากฏการณ์มหัศจรรย์ในแม่น้ำโขง ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนริมแม่น้ำโขง  ที่เกิดจากการเดินทางไหลเวียนของนักท่องเที่ยวเข้ามายังจังหวัดหนองคายจำนวนหลายแสนคน  ต่อเนื่องถึจังหวัดใกล้เคียง เช่น อุดรธานี สกลนคร หนองบัวลำภู ได้รับอานิสงส์ มีการคำนวณว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ได้เกิดรายได้หมุนเวียนในช่วงสั้น ๆ สูงกว่า 100 ล้านบาททุกปี 

 

นายบุญเพ็ง  ลามคำ  ประธานหอการค้าจังหวัดบึงกาฬ เปิดเผยว่า ทางจังหวัดบึงกาฬ ได้จัดพื้นที่ให้ประชาชนรอชมปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคหลายพื้นที่ในอ.บึงโขงหลง และ อ.ปากคาด ตามแนวลำน้ำโขงที่ต่อเนื่องจากจ.หนองคาย ซึ่งในพื้นที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกหลายแห่ง รอรับนักท่องเที่ยวสายมู ให้เดินทางไปกราบไหว้สักการะได้ 
            ทั้งนี้ ตำนานบั้งไฟพญานาคในวันออกพรรษา ที่เรียกว่าปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคลำน้ำโขง หรือชาวชุมชนตามริมแม่น้ำโขงเรียกว่าบั้งไฟผี ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ คืนวันเพ็ญเดือนสิบเอ็ด ตามปฏิทินของไทยซึ่งจะมีทุกปีๆ ละครั้งเท่านั้น โดยจะปรากฎให้เห็นตามลำน้ำโขง ตั้งแต่อำเภอสังคม เรื่อยลงมาจนถึงจังหวัดบึงกาฬ และจะเกิดมากในพื้นที่อำเภอเมือง บริเวณหน้าเมืองเขตเทศบาลเมืองหนองคาย  หน้าวัดไทย อ.โพนพิสัย บริเวณแก่งอาฮง อ.เมืองบึงกาฬ  ซึ่งเป็นบริเวณที่มีระดับน้ำในแม่น้ำโขงลึกที่สุด จนได้รับการกล่าวขานว่า”สะดือแม่น้ำโขง” และมีความเชื่อกันว่าใต้พื้นแก่งอาฮง มีเมืองบาดาลเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าพญานาค

 

อีกตำนานที่กล่าวถึงมาก คือ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้  ได้เสด็จไปโปรดพระพุทธมารดา บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเวลา ๑ พรรษา (3 เดือน)  ครั้นถึงวันออกพรรษา ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑  จึงเสด็จกลับสู่โลกมนุษย์  ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวันที่โลกทั้ง 3 คือ สวรรค์  นรก และโลกมนุษย์ จะมองเห็นกันทั้งหมด  เหล่าบรรดาเทวดา มนุษย์ สัตว์ และนาค มีความปีติยินดี  นำเครื่องบูชาถวายกันอย่างพร้อมเพรียง  โดยพญานาคก็พ่นลูกไฟให้เห็นกันในวันดังกล่าวด้วย 

 

นอกจากนี้แล้วความเชื่ออีกประการหนึ่งว่า แม่น้ำโขงนั้น เกิดจากการเดินทางของนาคตนหนึ่งชื่อว่า ปู่เจ้าศรีสุทโธ นาคตนนี้เมื่อเลื้อยไปเจอภูผาหรือก้อนหินก็เลี้ยวหลบ ผิดกับนาคตนอื่น ๆ ที่จะเลื้อยผ่าตรงไปเลย เส้นทางการเดินของเจ้าศรีสุทโธจึงมีลักษณะคดเคี้ยวไปมา เรียกกันว่าลำน้ำคด หรือลำน้ำโค้ง แล้วต่อมาจึงเพี้ยนเป็นลำน้ำโขงไปในที่สุด และยังมีเรื่องเล่าขานตำนานบอกกล่าว เกี่ยวกับนาคหรือพญานาคอีกมากมาย ซึ่งเป็นเรื่องของความเชื่อถือของท้องถิ่นอีสาน และเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เห็นกันได้ทั่วไปของของ”คนอีสาน”     

 

ตราบถึงปัจจุบันนี้ ปรากฎการณ์ดังกล่าวที่ยังไม่สามารถหาคำอธิบายที่ชัดเจนได้ ว่าปรากฎการณ์บั้งไฟผีเกิดได้อย่างไร  ที่เกิดเป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน ไม่มีเสียง ไม่มีประกาย พุ่งวาบขึ้นมาจากพื้นน้ำโขงขึ้นสู่อากาศ สูงจากพื้นน้ำประมาณ 1-30 เมตร สว่างเป็นสายในความมืดอยู่เป็นเวลาประมาณ 10 วินาที แล้วก็จะดับหายไปโดยที่จะไม่วกกลับตกลงมาสู่พื้นน้ำ ขนาดของลูกไฟมีตั้งแต่ขนาดเล็กถึงขนาดเท่าฟองไข่ไก่

 

นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่า ปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคดังกล่าวนั้น เกิดจากก๊าซมีเทน-ไนโตรเจน ที่เกิดจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ใต้ท้องน้ำโขง ที่ความลึก 4.55–13.40 เมตร  อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 15 องศาเซลเซียส ปริมาณออกซิเจนในวันที่เกิดปรากฏการณ์มีแดดส่องลงมา ช่วงที่มีอุณหภูมิมากกว่า 26 องศาเซลเซียส ทำให้มีความร้อนมากพอจะย่อยสลายสารอินทรีย์ และจะมีก๊าซมีเทนจากการหมัก 3–4 ชั่วโมง มากพอจะทำให้เกิดความดันก๊าชมีเทนที่อยู่ใต้พื้นน้ำโขงให้หลุดออกมา และพุ่งขึ้นเมื่อโผล่พ้นผิวน้ำ ฟองก๊าซที่โผล่ขึ้นมาเหนือพื้นน้ำจะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว จนติดไฟได้กลายเป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู  และจะลอยตัวอยู่ในอากาศประมาณ 5-10 วินาที แล้วก็จะดับหายไป 

 

ปรากฎการณ์บั้งไฟพญานาคที่แม่น้ำโขง หนองคายจะเกิดขึ้นในระหว่างเวลาประมาณพลบค่ำจนถึงเวลา 23.00 น.ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ที่รอให้ผู้สนใจมาพิสูจน์ด้วยสายตาตนเอง 

 

(ขอบคุณที่มาข้อมูล ททท. สนง.อุดรธานี โทร.042-325407/ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวหนองคาย โทร.042-421326)