กม.ใหม่ห้ามขายเหล้า–เบียร์ให้คนเมา ผู้ประกอบการชี้ยังไร้นิยาม-ความชัดเจน

19 ธ.ค. 2568 | 07:56 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ธ.ค. 2568 | 10:02 น.

การแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 เพิ่มความรับผิดร้านค้าห้ามขายให้คนมึนเมา ขณะที่ผู้ประกอบการชี้ยังขาดนิยามและกรอบปฏิบัติที่ชัดเจน

KEY

POINTS

  • กฎหมายใหม่ห้ามร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่บุคคลที่มีอาการมึนเมา และเปิดทางให้ผู้เสียหายฟ้องร้องร้านค้าได้
  • ผู้ประกอบการชี้ว่ากฎหมายยังขาดนิยามที่ชัดเจนของคำว่า "คนเมา" ทำให้การบังคับใช้ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ยาก
  • การไม่มีเกณฑ์มาตรฐานทำให้ร้านค้าต้องใช้ดุลยพินิจของพนักงานในการประเมินลูกค้า ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้อง
  • ทุกฝ่ายเรียกร้องให้เร่งออกกฎหมายลูกเพื่อกำหนดนิยามอาการมึนเมาและกรอบความรับผิดชอบให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

ภายหลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 ซึ่งเพิ่มความเข้มงวดในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการขยายความใน มาตรา 29 ที่ห้ามร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่บุคคลที่มีอาการมึนเมา และเปิดทางให้ผู้เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านค้าได้โดยตรง ประเด็นที่กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญในภาคธุรกิจขณะนี้ คือ การไม่มีนิยามที่ชัดเจนของคำว่า “คนเมา” และกรอบความรับผิดชอบของร้านค้าในทางปฏิบัติ

นางสาวประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟต์เบียร์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้หลักการของกฎหมายฉบับใหม่จะมุ่งยกระดับความปลอดภัยของสังคม แต่ในทางปฏิบัติยังมีช่องว่างสำคัญที่ทั้งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต่างต้องการความชัดเจน โดยเฉพาะ เกณฑ์นิยามอาการมึนเมา ที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

“วันนี้ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการที่ตั้งคำถาม เจ้าหน้าที่ผู้กำกับการหรือฝ่ายบังคับใช้กฎหมายเองก็ต้องการความชัด ว่าในทางกฎหมาย ‘เมา’ ต้องมีลักษณะอย่างไร ร้านถึงจะถูกมองว่าฝ่าฝืน หากยังไม่มีนิยามที่ตรงกัน ทุกฝ่ายจะทำงานยาก” 

 

กฎหมายให้โทษแล้ว แต่ยังไม่ให้เกณฑ์ตัดสิน

นางสาวประภาวี อธิบายว่า จุดแข็งของการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ คือการทำให้มาตรา 29 มีผลบังคับใช้จริงมากขึ้น จากเดิมใน พ.ร.บ. ปี 2551 ที่แม้จะห้ามขายให้คนมึนเมา แต่ไม่เคยมีรายละเอียดเชิงปฏิบัติที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ การกำหนดบทลงโทษและความรับผิดไว้แล้ว ขณะที่เครื่องมือและเกณฑ์ตัดสินยังไม่ชัดเจน

กม.ใหม่ห้ามขายเหล้า–เบียร์ให้คนเมา ผู้ประกอบการชี้ยังไร้นิยาม-ความชัดเจน

ปัจจุบัน ร้านค้าจำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจของพนักงานเป็นหลัก เช่น การสังเกตพฤติกรรม การพูดจา หรือการทรงตัว ซึ่งเป็นเรื่องเชิงอัตวิสัย และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน ขณะที่ผลทางกฎหมายหากตัดสินพลาด อาจนำไปสู่การฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญา

กรอบความรับผิดร้านยังไม่ชัด เสี่ยงตีความไม่ตรงกัน

อีกประเด็นที่สมาคมคราฟต์เบียร์มองว่ายังต้องการความชัดเจน คือ กรอบความรับผิดชอบของร้านค้า ว่าการปฏิบัติตามกฎหมายควรต้องมีองค์ประกอบใดบ้าง เช่น ต้องมีการบันทึกข้อมูลหรือไม่ ต้องปฏิเสธการขายในระดับใดถึงถือว่ารอบคอบเพียงพอ และหากลูกค้าไปดื่มจากหลายร้านก่อนเกิดเหตุ ร้านใดควรเป็นผู้รับผิด

ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการกังวลว่า แม้จะพยายามปฏิบัติตามกฎหมายอย่างดีที่สุด แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ภาระการพิสูจน์อาจตกอยู่กับร้านค้า เนื่องจากระบบกฎหมายไทยมักให้จำเลยต้องแสดงหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง

สมาคมเสนอเร่งออกกฎหมายลูก สร้างมาตรฐานเดียวกัน

นางสาวประภาวี ระบุว่า ทั้งผู้ประกอบการและฝ่ายบังคับใช้กฎหมายต่างเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องเร่งออก กฎหมายลูกหรือระเบียบรอง เพื่อกำหนดนิยามอาการมึนเมา และกรอบความรับผิดชอบของร้านค้าให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ

กม.ใหม่ห้ามขายเหล้า–เบียร์ให้คนเมา ผู้ประกอบการชี้ยังไร้นิยาม-ความชัดเจน

ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สมาคมคราฟต์เบียร์ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด การอบรมพนักงานให้เข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางการปฏิเสธการขายอย่างเหมาะสม การติดป้ายแจ้งกฎหมายใหม่ รวมถึงการส่งเสริมให้ลูกค้าใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือบริการเรียกรถ

“สมาคมเห็นด้วยกับหลักการของกฎหมาย และต้องการให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่กฎหมายจะได้ผลจริงก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน หากยังไม่มีนิยามที่ชัด การบังคับใช้ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงทั้งต่อผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่เอง” นางสาวประภาวีกล่าว