KEY
POINTS
ภายหลังการประกาศใช้ พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฉบับที่ 2 พ.ศ.2568 ซึ่งเพิ่มความเข้มงวดในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะการขยายความใน มาตรา 29 ที่ห้ามร้านค้าจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้แก่บุคคลที่มีอาการมึนเมา และเปิดทางให้ผู้เสียหายสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากร้านค้าได้โดยตรง ประเด็นที่กลายเป็นข้อถกเถียงสำคัญในภาคธุรกิจขณะนี้ คือ การไม่มีนิยามที่ชัดเจนของคำว่า “คนเมา” และกรอบความรับผิดชอบของร้านค้าในทางปฏิบัติ
นางสาวประภาวี เหมทัศน์ เลขาธิการสมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจคราฟต์เบียร์ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า แม้หลักการของกฎหมายฉบับใหม่จะมุ่งยกระดับความปลอดภัยของสังคม แต่ในทางปฏิบัติยังมีช่องว่างสำคัญที่ทั้งผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต่างต้องการความชัดเจน โดยเฉพาะ เกณฑ์นิยามอาการมึนเมา ที่ใช้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
“วันนี้ไม่ใช่แค่ผู้ประกอบการที่ตั้งคำถาม เจ้าหน้าที่ผู้กำกับการหรือฝ่ายบังคับใช้กฎหมายเองก็ต้องการความชัด ว่าในทางกฎหมาย ‘เมา’ ต้องมีลักษณะอย่างไร ร้านถึงจะถูกมองว่าฝ่าฝืน หากยังไม่มีนิยามที่ตรงกัน ทุกฝ่ายจะทำงานยาก”
นางสาวประภาวี อธิบายว่า จุดแข็งของการแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ คือการทำให้มาตรา 29 มีผลบังคับใช้จริงมากขึ้น จากเดิมใน พ.ร.บ. ปี 2551 ที่แม้จะห้ามขายให้คนมึนเมา แต่ไม่เคยมีรายละเอียดเชิงปฏิบัติที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำคัญของกฎหมายฉบับใหม่ คือ การกำหนดบทลงโทษและความรับผิดไว้แล้ว ขณะที่เครื่องมือและเกณฑ์ตัดสินยังไม่ชัดเจน
ปัจจุบัน ร้านค้าจำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจของพนักงานเป็นหลัก เช่น การสังเกตพฤติกรรม การพูดจา หรือการทรงตัว ซึ่งเป็นเรื่องเชิงอัตวิสัย และอาจแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน ขณะที่ผลทางกฎหมายหากตัดสินพลาด อาจนำไปสู่การฟ้องร้องทั้งคดีแพ่งและอาญา
อีกประเด็นที่สมาคมคราฟต์เบียร์มองว่ายังต้องการความชัดเจน คือ กรอบความรับผิดชอบของร้านค้า ว่าการปฏิบัติตามกฎหมายควรต้องมีองค์ประกอบใดบ้าง เช่น ต้องมีการบันทึกข้อมูลหรือไม่ ต้องปฏิเสธการขายในระดับใดถึงถือว่ารอบคอบเพียงพอ และหากลูกค้าไปดื่มจากหลายร้านก่อนเกิดเหตุ ร้านใดควรเป็นผู้รับผิด
ในทางปฏิบัติ ผู้ประกอบการกังวลว่า แม้จะพยายามปฏิบัติตามกฎหมายอย่างดีที่สุด แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ภาระการพิสูจน์อาจตกอยู่กับร้านค้า เนื่องจากระบบกฎหมายไทยมักให้จำเลยต้องแสดงหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ของตนเอง
นางสาวประภาวี ระบุว่า ทั้งผู้ประกอบการและฝ่ายบังคับใช้กฎหมายต่างเห็นตรงกันว่า จำเป็นต้องเร่งออก กฎหมายลูกหรือระเบียบรอง เพื่อกำหนดนิยามอาการมึนเมา และกรอบความรับผิดชอบของร้านค้าให้ชัดเจน เพื่อใช้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สมาคมคราฟต์เบียร์ได้แนะนำให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรการป้องกันความเสี่ยง เช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด การอบรมพนักงานให้เข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางการปฏิเสธการขายอย่างเหมาะสม การติดป้ายแจ้งกฎหมายใหม่ รวมถึงการส่งเสริมให้ลูกค้าใช้บริการขนส่งสาธารณะหรือบริการเรียกรถ
“สมาคมเห็นด้วยกับหลักการของกฎหมาย และต้องการให้สังคมปลอดภัยขึ้น แต่กฎหมายจะได้ผลจริงก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายมีความเข้าใจตรงกัน หากยังไม่มีนิยามที่ชัด การบังคับใช้ก็อาจกลายเป็นความเสี่ยงทั้งต่อผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่เอง” นางสาวประภาวีกล่าว