KEY
POINTS
ความร่วมมือระยะยาวระหว่างภาครัฐและเอกชนในการพัฒนาเกษตรกรรมไทยเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม เมื่อเนสท์เล่ (ไทย) ร่วมกับองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของเยอรมัน (GIZ) ประกาศความสำเร็จของโครงการ “คอฟฟีพลัส” (Coffee+) และ “คอฟฟีดับเบิ้ลพลัส” (Coffee++)
ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตลอด 8 ปี ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมรายได้ และเพิ่มความสามารถในการรับมือกับความผันผวนของสภาพภูมิอากาศให้กับเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟโรบัสตารายย่อยกว่า 2,200 ราย ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย สะท้อนบทบาทของความร่วมมือภาครัฐ-เอกชนในการขับเคลื่อนการพัฒนาเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในระดับพื้นที่และระดับประเทศ
นายฟิลิปป์ เกลาเซอร์ ผู้อำนวยการบริหารฝ่ายเทคนิคและอุตสาหกรรมการผลิต เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวเพิ่มเติมดังนี้ “เรารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้ดำเนินโครงการความร่วมมือกับ GIZ และมีส่วนช่วยยกระดับการเกษตรเชิงฟื้นฟูให้กับเกษตรกรรายย่อยหลายพันคน โครงการคอฟฟีดับเบิ้ลพลัสมีส่วนช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อมและช่วยให้เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกกาแฟโรบัสตามีผลผลิตและรายได้ที่เพิ่มขึ้น
ผู้บริโภคต่างก็ได้รับประโยชน์จากผลผลิตกาแฟคุณภาพดีที่ผลิตจากแนวปฏิบัติด้านการเกษตรเชิงฟื้นฟู และสิ่งสำคัญคือ การทำงานร่วมกันครั้งนี้ยังมีส่วนสนับสนุนให้เนสท์เล่บรรลุเป้าหมายของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2593 อีกด้วย”
เนสท์เล่ และ GIZ ได้ทำงานร่วมกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561–2568 ภายใต้โครงการคอฟฟีพลัส ซึ่งมุ่งพัฒนาระบบการเพาะปลูกกาแฟของเกษตรกรรายย่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และต่อยอดสู่โครงการคอฟฟีดับเบิ้ลพลัส ที่นำแนวคิด “การเกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) มาปรับใช้กับการปลูกกาแฟโรบัสตาในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
หัวใจสำคัญของทั้งสองโครงการ คือการเสริมสร้างองค์ความรู้และทักษะให้กับเกษตรกร ตั้งแต่การจัดการสวน การวางแผนต้นทุน การเพิ่มผลผลิต ไปจนถึงการสร้างรายได้เสริม เพื่อให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว พร้อมรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตร
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้ คือหลักสูตร “โรงเรียนธุรกิจสำหรับเกษตรกร” (Farmer Business School: FBS) ซึ่งช่วยให้เกษตรกรเข้าใจภาพรวมทางธุรกิจของการปลูกกาแฟมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการผลิตผลผลิต แต่รวมถึงการบริหารจัดการรายได้ครัวเรือน การกระจายความเสี่ยง และการวางแผนในระยะยาว
ขณะเดียวกัน การผนวกหลักปฏิบัติด้านการเกษตรเชิงฟื้นฟูเข้าไปในการจัดการสวนกาแฟ ยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพดิน รักษาระบบนิเวศ ลดการพึ่งพาปัจจัยการผลิตจากภายนอก และเพิ่มความสมดุลระหว่างการทำเกษตรกับการดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญต่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมกาแฟในระยะยาว
นายเธียรชัย ชูกิตติวิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร กล่าวว่า โครงการคอฟฟีพลัสและคอฟฟีดับเบิ้ลพลัส มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนแผนพัฒนาการผลิตกาแฟแห่งชาติ พ.ศ. 2565–2574 และเป็นตัวอย่างของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริงในพื้นที่
“ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ปลูกกาแฟรายย่อยหลายพันรายมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับชุมชนเกษตรกรในการรับมือกับความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญของภาคเกษตรในปัจจุบัน”
การมีส่วนร่วมของหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อาทิ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมพัฒนาที่ดิน ยังช่วยให้แนวทางการทำงานของโครงการสามารถเชื่อมโยงกับนโยบายภาครัฐ และต่อยอดสู่การขยายผลในวงกว้างได้ในอนาคต
ภายในงานฉลองความสำเร็จของโครงการมีการนำเสนอภาพรวมการดำเนินงานตลอด 8 ปีของทั้งสองโครงการในพื้นที่ปลูกกาแฟหลัก พร้อมกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้แทนจาก GIZ เนสท์เล่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อถอดบทเรียนความสำเร็จ ปัจจัยสนับสนุน และข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาการจัดการพื้นที่เกษตรอย่างยั่งยืนหลังจากโครงการสิ้นสุดลง
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการนำแนวทางเกษตรเชิงฟื้นฟูมาปรับใช้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังครอบคลุมมิติด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งการเพิ่มผลผลิตและรายได้ การยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร การปรับปรุงคุณภาพดิน และการฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่เพาะปลูกกาแฟ ซึ่งล้วนเป็นฐานสำคัญของความยั่งยืนในระยะยาว
นางพจมาน วงษ์สง่า ผู้อำนวยการโครงการ GIZ ประจำประเทศไทย กล่าวว่า โครงการคอฟฟีดับเบิ้ลพลัสได้สร้างแพลตฟอร์มสำคัญให้กับภาคีทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกกาแฟโรบัสตา ให้มีความรู้และทักษะในการจัดการสวนอย่างเป็นระบบ และมีความพร้อมในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ