KEY
POINTS
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ประเมินสถานการณ์ SME ไทยในช่วงปี 2568–2569 ยังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลก การแข่งขันจากสินค้านำเข้า และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี พร้อมย้ำว่า “การเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยี” ไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการอยู่รอดอย่างยั่งยืน
นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการ รักษาการผู้อำนวยการ สสว. เปิดเผยภาพรวมดังกล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “SME Symposium 2025” ภายใต้แนวคิด Smart Firm Smart Move ก้าวสู่อนาคตด้วยเทคโนโลยี พลิกโฉม SME ไทยสู่โลกดิจิทัล ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยปีนี้มุ่งกระตุ้นให้ผู้ประกอบการนำดิจิทัลและเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจอย่างจริงจัง
ข้อมูลล่าสุดสะท้อนว่า SME ยังคงเป็นกลไกหลักของเศรษฐกิจไทย ปี 2567 มีผู้ประกอบการ SME จำนวน 3.26 ล้านราย คิดเป็น 99.5% ของผู้ประกอบการทั้งหมด เพิ่มขึ้น 0.9% จากปีก่อน โดยเป็นธุรกิจรายย่อยมากถึง 84% ขณะที่โครงสร้าง SME กระจุกตัวอยู่ในภาคการค้า ภาคบริการ และภาคการผลิตตามลำดับ
ด้านการจ้างงาน SME มีบทบาทสำคัญ โดยจ้างงานรวม 13.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 68.8% ของการจ้างงานทั้งประเทศ ภาคบริการยังเป็นแหล่งจ้างงานหลัก สะท้อนบทบาท SME ต่อเศรษฐกิจฐานรากอย่างชัดเจน
ในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2568 SME สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (SME GDP) ได้ 4.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 34.8% ของ GDP ประเทศ ขยายตัว 2.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยภาคบริการสร้างมูลค่าได้สูงสุดราว 1.9 ล้านล้านบาท
คาดว่า SME GDP ทั้งปี 2568 จะขยายตัวราว 2.5% และในปี 2569 มีแนวโน้มเติบโต 2.0–2.8% จากแรงหนุนการส่งออก มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย การท่องเที่ยว และเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงสำคัญยังอยู่ที่หนี้ครัวเรือนสูง สินค้านำเข้าราคาถูก และภัยธรรมชาติ
ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 SME มีมูลค่าส่งออก 1.33 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.3% ของการส่งออกรวม สินค้าหลัก ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักร คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยตลาดส่งออกอันดับหนึ่งยังเป็นสหรัฐอเมริกา คิดเป็น 20.1%
ด้านการนำเข้า SME มีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท หรือ 17.2% ของการนำเข้ารวม สินค้าหลักเป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยจีนเป็นแหล่งนำเข้าหลัก สัดส่วนสูงถึง 46.4% สะท้อนความเปราะบางของห่วงโซ่อุปทาน
โดยวิเคราะห์กลุ่มธุรกิจจากอัตราการเติบโตของกำไรขั้นต้น พบว่า กลุ่มดาวรุ่ง ซึ่งกำไรขั้นต้นเติบโตเกิน 100% ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมผู้บริโภคและโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ได้แก่
– โลจิสติกส์ เติบโตตามอีคอมเมิร์ซ (กำไรขั้นต้นเฉลี่ย +500%)
– การออกแบบ Artwork และงานสร้างสรรค์ (+430%)
– อาหารจากสัตว์น้ำ (+721%)
– เฟอร์นิเจอร์โลหะ (+110%)
– วิดีโอเกมและซอฟต์แวร์ (+191%)
– เครื่องจักรและอุปกรณ์การเกษตร (+832%)
– ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ (+241%)
ขณะที่ กลุ่มเฝ้าระวัง เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันและเทคโนโลยี ได้แก่ การขายเครื่องสำอาง รถยนต์มือสอง ผลิตภัณฑ์ยาง และที่พักนักเรียน–นักศึกษา ซึ่งบางกลุ่มมีกำไรขั้นต้นหดตัวมากกว่า 100%
อีกประเด็นที่น่ากังวลคือผลิตภาพการผลิตรวม (TFP) ของ SME ซึ่งในปี 2567 ติดลบ 0.27 สะท้อนว่าใช้ทรัพยากรเท่าเดิมหรือมากขึ้น แต่สร้างผลผลิตได้น้อยลง สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจชะลอ คำสั่งซื้อหด และการขาดเงินลงทุนด้านเทคโนโลยี
ในทางกลับกัน กลุ่มที่ลงทุนเทคโนโลยีหรือใช้ทักษะสูงยังรักษา TFP เป็นบวก เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์แร่อโลหะ (+17.61%) และกลุ่มศิลปะและความบันเทิง (+6.83%) ชี้ชัดว่า “การเลือกใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสม” คือหัวใจการยกระดับผลิตภาพ ไม่ใช่แค่การหาเงินทุน
โดยยืนยันพร้อมผลักดัน SME ผ่านโครงการสนับสนุนเชิงระบบ อาทิ SME Academy365 พัฒนาทักษะดิจิทัลและการบริหารธุรกิจ โครงการ BDS สนับสนุนงบลงทุนเทคโนโลยีแบบร่วมจ่าย 50–80% รวมถึงแพลตฟอร์ม “SME Connext” ที่รวมบริการไว้จุดเดียวผ่าน SME One ID
ท่ามกลางเศรษฐกิจผันผวน สสว. สรุปชัดว่า ทางรอดของ SME ไทยไม่ใช่การรอปัจจัยภายนอก แต่คือการ “เร่งเปลี่ยนผ่านด้วยเทคโนโลยี” เพื่อยกระดับขีดแข่งขัน และยืนระยะได้ในระยะยาว