เกมใหม่ “มาม่า” ปั้น DNA สร้างคอมมูนิตี้ ลบภาพ “ฉันเป็นบะหมี่!”

04 ธ.ค. 2568 | 07:57 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ธ.ค. 2568 | 08:03 น.

เปิดเกมใหม่ “มาม่า” สุ่มเดินหน้าโปรเจ็กต์ “MAMACREW” สร้าง DNA - คอมมูนิตี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อทรานส์ฟอร์มจาก “บะหมี่ฯ” สู่ Life Partner

KEY

POINTS

  • มาม่าปรับภาพลักษณ์แบรนด์ครั้งใหญ่ จากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสู่การเป็น "Life Partner & Safe Zone" เพื่อสร้างพื้นที่ทางอารมณ์และความผูกพันกับผู้บริโภคทุกเจเนอเรชัน
  • เปิดตัวโปรเจกต์ "MAMACREW" โดยใช้พรีเซ็นเตอร์ 6 คน นำโดย อิ้งค์ วรันธร และนนท์ ธนนท์ เพื่อสร้างคอมมูนิตี้และเชื่อมต่อกับคนรุ่นใหม่ในฐานะเพื่อน
  • ขยายกลยุทธ์สู่ป็อปคัลเจอร์และมิวสิกมาร์เก็ตติ้ง เช่น แคมเปญ "Sound of Flavours" เพื่อสร้างตัวตนใหม่ของแบรนด์ที่สนุก เข้าถึงง่าย และเป็นกันเองมากขึ้น

กว่า 50 ปีที่ “มาม่า” อยู่คู่คนไทยในฐานะบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จนกลายเป็น “Mama Index” หรือดัชนีมาม่า ชี้วัดเศรษฐกิจ เพราะหากปีไหนเศรษฐกิจดี มาม่าจะขายไม่ดี แต่หากปีไหนเศรษฐกิจไม่ดี มาม่าจะขายดี

แต่วันนี้ภาพลักษณ์ใหม่ของ “มาม่า” จะเปลี่ยนไป เพราะ “มาม่า” จะไม่ใช่แค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น เพราะ “มาม่า” เลือกที่จะเดินจากเชลฟ์ (ชั้นขายสินค้า” มาอยู่เป็นส่วนหนึ่งของ Life Partner & Safe Zone ของคนทุกเจเนอเรชัน

โดยกลยุทธ์ใหม่นี้ “มาม่า” เลือกประกาศ DNA ใหม่ของแบรนด์ ผ่านโปรเจ็กต์ที่เป็นเหมือน Cultural Move ครั้งใหญ่ “MAMACREW” พร้อมเปิดตัว 6 พรีเซ็นเตอร์ นำโดย “INK WARUNTORN” อิ้งค์ - วรันธร เปานิล เจ้าหญิงแห่งซินธ์ป็อป “NONT TANONT” นนท์ - ธนนท์ จำเริญ ตัวพ่อเพลงฮิตแห่งทีป็อป “เสือร้องไห้” – ครีเอเตอร์ไอเดียจัดจ้าน ขวัญใจคอนเทนต์ไวรัล

พร้อมด้วยสมาชิกใน Crew ที่เชื่อมกันด้วยความเป็นเพื่อน ความจริงใจ และไวบ์เดียวกันกับแบรนด์ ทั้งหมดถูกคัดเลือกเพื่อสะท้อนความเป็นมาม่ายุคใหม่ แบรนด์ที่ “จับต้องได้” สนุก อบอุ่น และเป็นคอมมูนิตี้ที่      ทุกคนเข้ามาอยู่ได้โดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเพิ่ม

เพชร พะเนียงเวทย์

เพชร พะเนียงเวทย์” กรรมการบริษัท และผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารรุ่นใหม่ของเครือสหพัฒน์ ผู้อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อน DNA ใหม่ของ “มาม่า” เล่าให้ฟังว่า หากให้มองว่าถ้า “มาม่า” ไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป มาม่าก็จะเป็น “คน” คนที่เป็น Life Partner และ Safe Zone ของทุกคน เวลาคนไทยเดินทางไปต่างประเทศแล้วคิดถึงบ้าน สิ่งที่เขานึกถึงคือ ‘มาม่า’ พอเขากลับมาเปิดซอง มันเหมือนกลับบ้านทันที”

วันนี้ “มาม่า” มีวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้าง ในยุคที่แบรนด์ต้องการย้ายจาก “หน้าที่ในการแก้หิว” ไปสู่ “พื้นที่ทางอารมณ์” แบรนด์อยากเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกว่า ได้กลับบ้านแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก

เพราะ “มาม่า” ไม่ได้มอง Presenter เป็นหน้าตาแบรนด์แบบเดิม ๆ แต่มองเป็น Community Catalyst คนที่พาแบรนด์เข้าไปอยู่ในบทสนทนาของ Creator Scene ของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน 

MAMACREW  ที่นำโดย อิ้งค์–นนท์ เป็นเพื่อนกันจริง เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ “แฟนรัก–ยอมรับ–อินในสิ่งเดียวกัน” เสือร้องไห้ เป็น “ตัวกลาง” ที่ทำให้ทุกคนเชื่อมกันได้และสื่อสารกับแฟนคลับง่ายขึ้น โดยทั้ง 6 คนมีความเป็น “มนุษย์จริง” ไม่ขายภาพเกินจริง

เกมใหม่ “มาม่า” ปั้น DNA สร้างคอมมูนิตี้ ลบภาพ “ฉันเป็นบะหมี่!”

“มาม่า” อยากให้ทุกคนรู้สึกว่า “ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของ MAMACREW ได้” ทั้งหมดนี้    แบรนด์ต้องการให้ Presenter เป็นภาพสะท้อนความคิดของทีมเบื้องหลัง โดยเฉพาะวิธีคิดใหม่ ที่ต้องการทำแบรนด์ให้สนุก สด และเป็นกันเอง  

“มาม่า” ไม่ได้มองคู่แข่งเป็นแบรนด์บะหมี่อีกต่อไป เพราะศึกวันนี้อยู่ใน TikTok, แฟนด้อม, คอนเสิร์ต,  ป็อปคัลเจอร์, มิวสิกมาร์เก็ตติ้ง และคอนเทนต์ไวรัล “มาม่า“ มองว่า ทุกวันนี้ดารา นักร้อง ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ มีความทับซ้อนกันหมด เราเลยต้องเลือกคนที่เข้าได้กับทุกโลก ไม่ใช่แค่โลกโฆษณา

นี่คือเหตุผลที่มาม่าเปิดแนวทางการทำงานกว้างขึ้น เปิดรับ Music Marketing, เปิดรับ Collaboration แบบไร้กรอบ, เปิดรับครีเอเตอร์ ทุกสไตล์ พร้อมความเชื่อเดียวกันว่า ไอเดียที่คนอื่นคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” มักเป็นไอเดียที่มาม่าอยากทำที่สุด

“มาม่า” ยังเลือกตอบโจทย์มากกว่า “ความหิว” แต่เป็นการสร้าง “ประสบการณ์” ดนตรีครั้งใหม่ ด้วยแคมเปญ “Sound of Flavours” ซึ่งเป็นโปรเจกต์ที่ร่วมกับ “โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร” ศิลปินที่ “พูดด้วยดนตรี” สู่การสร้างอัลบั้ม 4 เพลง 4 อารมณ์ โดยเปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลแรก “นิดนึงพอ” ขับร้องโดย อิ้งค์-วรันธร เปานิล ตัวแทนสื่อความคิดถึงและความอบอุ่น เป็นแคมเปญที่ไม่ได้ทำเพื่อยอดขาย แต่เพื่อคืนความรู้สึกให้แบรนด์ ที่เชื่อว่าหลายคนผูกพันกับ “มาม่า” เสมอ

ก้าวต่อไปของ “มาม่า” ที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลง “เพชร” บอกว่า เป็นการ “วางรากใหม่” ของแบรนด์ โดย “มาม่า” ใช้เวลามากกว่า 5–6 ปี ค่อย ๆ เปลี่ยนแบรนด์ให้เป็นแบบนี้ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไปเรียกได้ว่า “มาม่า” กำลังเข้าสู่เฟสใหม่ เฟสที่ไม่ได้แข่งในเชลฟ์ แต่กำลังสร้างวัฒนธรรมของตัวเอง เฟสที่ไม่ได้ขาย “รสชาติ” แต่ขาย “ตัวตน” เฟสที่ไม่ได้สื่อสารแบบทางการ แต่สื่อสารแบบเพื่อนที่ชวนกันคุย

จากนี้ไป จะเห็น “มาม่า” ในแบบใหม่ที่ “จับต้องได้ เข้าถึงได้ เป็นเพื่อนได้

“มาม่ากำลังเดินหน้าไปสู่การสร้างแบรนด์  ที่เป็น “พื้นที่อารมณ์” ของคนทุกเจเนอเรชัน พร้อมเปิดโปรเจ็กต์ Collaboration ใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นตลอดทั้งปี เพราะในวันที่ทุกแบรนด์อยากเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ Creator Scene คนรุ่นใหม่ “มาม่า” เลือกสร้าง Pop Culture ของตัวเอง และ “MAMACREW” คือก้าวแรกของ Movement ครั้งนี้” เพชรกล่าวในตอนท้าย