KEY
POINTS
บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ผู้บริหารร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 250,655 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% มีกำไรสุทธิ 6,597 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.6% จากปีก่อน แรงส่งหลักมาจากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจค้าส่ง–ค้าปลีกและศูนย์การค้า รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง
รวมถึงการใช้กลยุทธ์ O2O (Online to Offline) ของแต่ละหน่วยธุรกิจยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนยอดขาย โดยบริการอย่าง 7Delivery และ All Online สามารถตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายกลุ่มนี้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีสัดส่วนราว 11% ของรายได้รวมจากการขายสินค้าในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ
สะท้อนศักยภาพธุรกิจค้าปลีกที่ยังแข็งแรงและสามารถปรับตัวรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในช่วงต้นไตรมาส เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันทั้งจากภาคการผลิตที่ชะลอตัว การลงทุนเอกชนที่ลดลง และรายรับจากนักท่องเที่ยวบางกลุ่มที่หดตัวลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาน้อยลงต่อเนื่อง ขณะที่อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจจริง
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงปลายไตรมาสเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัว โดยในเดือนกันยายนภาคการผลิตทยอยกลับมาเดินเครื่องหลังหยุดผลิตชั่วคราวเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ขณะที่ภาคการส่งออก โดยเฉพาะในหมวดอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
รวมถึงนักท่องเที่ยวจากตลาดระยะไกล เช่น ยุโรป อเมริกา และนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียและอินเดียที่เดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงปลายไตรมาส ส่งผลให้รายรับจากภาคการท่องเที่ยวปรับดีขึ้นตามลำดับ แม้จำนวนนักท่องเที่ยวรวมยังต่ำกว่าปีก่อนก็ตาม
ด้านรัฐบาลยังคงเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อฟื้นฟูกำลังซื้อในประเทศ กระตุ้นภาคท่องเที่ยว และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจชุมชน ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยพยุงกำลังซื้อและสนับสนุนภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในช่วงท้ายไตรมาส
ทั้งนี้รายได้รวมในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มาจากร้านสะดวกซื้อและธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง 53% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ธุรกิจค้าส่ง–ค้าปลีกและศูนย์การค้ามีสัดส่วนรายได้รวม 47% ด้านกำไรของกลุ่มร้านสะดวกซื้อมีสัดส่วนสูงถึง 73% ของกำไรก่อนรายการพิเศษทั้งหมด
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อยังคงเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 CPALL เปิดร้านใหม่รวม 169 สาขา ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส บริษัทมีจำนวนร้าน 7-Eleven รวมทั้งสิ้น 15,764 สาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็นร้านสาขาบริษัท 8,098 สาขา และร้าน SBP รวม 7,666 สาขา
โดยสัดส่วนร้านตั้งเอกเทศยังคงสูงถึง 86% ของสาขาทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นร้านสาขาในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. นอกจากนี้ CPALL ยังรุกขยายสาขาในต่างประเทศ โดยมีร้านในกัมพูชา 125 สาขา และในสปป.ลาว 20 สาขา ซึ่งเป็นการขยายตลาดตามแผนระยะยาวสู่การเป็นผู้นำค้าปลีกใน CLMV
รายได้จากการขายสินค้าและบริการของธุรกิจร้านสะดวกซื้อในไตรมาส 3 อยู่ที่ 113,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.6% ยอดขายเฉลี่ยต่อร้านต่อวันเท่ากับ 81,339 บาท ยอดซื้อต่อบิลเฉลี่ยอยู่ที่ 86 บาท แม้จำนวนลูกค้าเฉลี่ยต่อสาขาต่อวันลดลงเล็กน้อยเป็น 943 คน จากปัจจัยฤดูกาลและการเดินทางภายในประเทศที่ลดลง
แต่บริษัทสามารถดึงยอดขายกลับมาได้ผ่านกลยุทธ์สินค้าใหม่ โปรโมชั่น และการผลักดันบริการผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยบริการ O2O เช่น 7Delivery และ All Online มีบทบาทสำคัญในการรักษาการเติบโตของยอดขายในช่วงที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปรับตัวลดลง
สำหรับแผนการลงทุนในช่วงที่เหลือของปีจะยังคงเน้นการขยายสาขา 7-Eleven ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการพัฒนาธุรกิจ O2O เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และบริการที่ครบถ้วนในจุดเดียว บริษัทเตรียมเพิ่มการลงทุนในระบบโลจิสติกส์ คลังสินค้า เทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาแพลตฟอร์มส่งสินค้าให้รวดเร็วขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของบริการเดลิเวอรีที่มีความสำคัญเพิ่มขึ้นทุกปี
นอกจากนี้ CPALL ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตในตลาด CLMV โดยเฉพาะกัมพูชาและลาว ซึ่งกำลังมีการขยายตัวด้านกำลังซื้อและโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้การลงทุนในสาขาใหม่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดี บริษัทจึงยังคงเดินหน้าขยายสาขาในต่างประเทศตามแผน เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาวและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในภูมิภาค
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงปลายปี CPALL เชื่อว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ การฟื้นตัวของภาคการผลิตและการส่งออก รวมถึงการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญให้ผลประกอบการของบริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงที่มียอดใช้จ่ายสูงของปี
CPALL ย้ำว่า บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนทั้งในด้านขยายสาขา เสริมศักยภาพโลจิสติกส์ พัฒนาระบบดิจิทัล และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการหลังบ้าน เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต พร้อมกับยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส ทั้งในร้านและบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวภายใต้ความท้าทายของเศรษฐกิจโลกที่ยังผันผวน