ขยายเกษียณ 65 ปี มุมมองจากภาค 'SME' เสนอสร้างสมดุลระหว่างรุ่น

07 พ.ย. 2568 | 05:12 น.
อัปเดตล่าสุด :07 พ.ย. 2568 | 05:20 น.

สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยชี้ การขยายอายุเกษียณราชการเป็น "ดาบสองคม" ชี้หากไม่มีแผนรองรับอาจเกิดปัญหาวิกฤต "การเบียดตำแหน่ง" แรงงานรุ่นใหม่ พร้อมทั้งดันต้นทุนค่าจ้าง SME สูงขึ้น

KEY

POINTS

  • ภาคเอกชนเอสเอ็มอีมองว่าการขยายอายุเกษียณเป็น "ดาบสองคม" ที่อาจสร้างปัญหาการเบียดตำแหน่งงานของคนรุ่นใหม่และเพิ่มภาระต้นทุนค่าจ้าง
  • เสนอให้สร้างความสมดุลระหว่างแรงงานต่างรุ่น โดยผสมผสานประสบการณ์ของผู้สูงวัยเข้ากับนวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ธุรกิจเติบโต
  • แนะให้ภาครัฐออกแบบระบบการจ้างงานที่ยืดหยุ่น เช่น การจ้างงานผู้สูงวัยแบบไม่เต็มเวลา (Part-time) และการขยายอายุเกษียณตามความสมัครใจ
  • เน้นย้ำความสำคัญของการพัฒนาทักษะ (Up Skill-Re Skill) ให้แรงงานสูงวัยปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี และสร้างแผนส่งต่อความรู้สู่คนรุ่นใหม่

จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ศึกษาความเป็นไปได้ในการ “ขยายอายุเกษียณราชการจาก 60 ปี เป็น 65 ปี” เพื่อรองรับสังคมผู้สูงวัยและปัญหาขาดแคลนแรงงานในอนาคต ได้จุดกระแสถกเถียงในวงกว้างทั้งในภาครัฐและเอกชน ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อโครงสร้างเศรษฐกิจและตลาดแรงงานไทยในภาพรวม

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ ฐานเศรษฐกิจ ว่า การขยายอายุเกษียณถือเป็น “ดาบสองคม” สำหรับเศรษฐกิจไทย โดยในด้านบวก จะช่วยให้ประเทศมีแรงงานที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจในระบบงานมากขึ้น ซึ่งมีความสำคัญในยุคที่ไทยกำลังขาดแรงงานฝีมือและเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ขณะเดียวกันยังช่วยลดภาระงบประมาณรัฐด้านบำนาญ และทำให้ผู้สูงวัยมีรายได้ต่อเนื่อง สามารถพึ่งพาตนเองได้

อย่างไรก็ตาม ในมุมของภาคเอกชน โดยเฉพาะกลุ่ม เอสเอ็มอี มองว่าการขยายเกษียณจะส่งผลกระทบในเชิงโครงสร้างตลาดแรงงาน หากไม่มีการวางแผนรองรับอย่างรอบด้าน เพราะอาจทำให้เกิด “การเบียดตำแหน่ง” ระหว่างแรงงานสูงวัยกับแรงงานรุ่นใหม่ รวมถึงปัญหาต้นทุนค่าจ้างที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ซึ่งต้องการความคล่องตัวสูงในการบริหารต้นทุน

นายแสงชัยกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองจาก “ภาระ” เป็น “พลัง” ผ่านการออกแบบระบบจ้างงานสูงวัยที่เหมาะสม เช่น การจ้างงานบางเวลา (Part-time Senior Workforce) การใช้ระบบ Co-payment ร่วมระหว่างรัฐและเอกชน รวมถึงมาตรการ Up Skill – Re-skill เพื่อให้แรงงานสูงวัยสามารถปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ และทำงานร่วมกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ขยายเกษียณ 65 ปี มุมมองจากภาค 'SME' เสนอสร้างสมดุลระหว่างรุ่น

ในขณะเดียวกัน เขายังเสนอให้ภาครัฐวางระบบการจ้างงานในภาพรวมอย่างยืดหยุ่น เช่น การเปิดทางเลือกให้ผู้ที่พร้อมสามารถทำงานต่อได้ถึง 65 ปีโดยสมัครใจ ขณะเดียวกันต้องเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาโครงสร้าง “Successor Plan” หรือแผนส่งต่อความรู้จากรุ่นสู่รุ่น เพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างไร้รอยต่อ

เมื่อมองในมิติของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี นายแสงชัยระบุว่า ปัจจุบันเอสเอ็มอีไทยมีโครงสร้างที่หลากหลาย แต่อัตราส่วนของผู้ประกอบการที่มีอายุ มากกว่า 45 ปีขึ้นไปยังมีอยู่เกินครึ่งหนึ่งของระบบ สะท้อนว่าผู้ประกอบการจำนวนมากเป็นกลุ่มที่เติบโตมาพร้อมกับธุรกิจในยุคก่อนดิจิทัล และยังต้องการปรับตัวต่อเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลง

“เอสเอ็มอีในวันนี้ไม่ใช่แค่คนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ แต่คือการอยู่ร่วมกันของสองเจเนอเรชัน การขยายเกษียณจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราสร้างสมดุลระหว่างประสบการณ์กับนวัตกรรมได้อย่างลงตัว” นายแสงชัยกล่าว

พร้อมเน้นว่า สิ่งที่ภาครัฐควรทำควบคู่คือการวางยุทธศาสตร์พัฒนาทักษะกำลังคนทุกช่วงวัย เพื่อให้ “แรงงานสูงวัยไม่เป็น Deadwood” แต่กลายเป็นแรงขับสำคัญของเศรษฐกิจไทย

สุดท้าย เขาย้ำว่า การขับเคลื่อนนโยบายขยายอายุเกษียณต้องอาศัย “การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน” โดยเฉพาะภาคเอกชน ซึ่งเป็นกลไกหลักของการจ้างงาน เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างการดูแลผู้สูงวัยกับการเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่เติบโตในระบบเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน