KEY
POINTS
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวนโยบายฟื้นเศรษฐกิจฐานรากที่รัฐบาลเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรี ภายใต้แนวคิด “Quick Big Win” ว่า มาตรการที่ออกแบบมาครั้งนี้ถือเป็น “ลมหายใจสำคัญ” สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่กำลังเผชิญปัญหาหนี้สินรุมเร้า สภาพคล่องหดตัว และต้นทุนธุรกิจสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยเชื่อว่าหากรัฐบาลสามารถดำเนินการได้จริงและรายละเอียดของนโยบายตรงจุด จะช่วยฟื้นพลังเศรษฐกิจฐานรากและเสริมความแข็งแรงให้เอสเอ็มอีอยู่รอดในระยะยาว
มาตรการ Quick Big Win ในการเพิ่มสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ได้แก่ การค้ำประกันสินเชื่อ โดยใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท, ให้ธนาคารช่วยสนับสนุน SME ผ่านโครงการสินเชื่อสนับสนุนสภาพคล่อง, โครงการพี่ช่วยน้อง ที่เป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในห่วงโซ่อุปทานและการคืนภาษีเร่งด่วน โดยให้กรมสรรพากรเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ
“หากรัฐบาลสามารถปรับ “ไส้ใน” ของแต่ละนโยบายให้มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้จริง จะเป็นการสร้าง “แรงส่ง” ที่แท้จริงให้กับเศรษฐกิจรากฐานของประเทศ”
ในด้านสินเชื่อและซอฟท์โลน ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ นายแสงชัยระบุว่า ปัญหาที่ผ่านมา คือเงินกู้ไม่ถึงมือเอสเอ็มอีรายเล็ก ขั้นตอนการอนุมัติซับซ้อนและใช้เวลานานเกินจำเป็น ทำให้ธุรกิจจำนวนมากขาดสภาพคล่องจนต้องปิดกิจการ ดังนั้น รัฐบาลต้องเร่งปรับเกณฑ์พิจารณาให้ “เป็นธรรม โปร่งใส และรวดเร็ว” พร้อมย้ำว่าดอกเบี้ยต่ำต้องเกิดขึ้นได้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในเอกสาร
“รัฐบาลควรผลักดันโมเดล “SME Supply Chain Credit” คล้ายระบบบัตรเครดิตสำหรับผู้ประกอบการรายย่อย โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและฐานข้อมูลการค้า (Digital Credit Scoring) เพื่อประเมินศักยภาพการชำระเงิน แทนการพึ่งพาหลักทรัพย์ค้ำประกัน ซึ่งจะช่วยให้เงินทุนหมุนเวียนในระบบได้จริงและลดภาระการเข้าถึงแหล่งทุน”
อีกสองมาตรการสำคัญไม่แพ้กัน คือ มาตรการภาษี “พี่ช่วยน้อง” และ “คืนภาษีแต้มต่อให้ SME” ซึ่งเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเข้าระบบภาษีอย่างสมัครใจ ซึ่งระบบภาษีไทยในปัจจุบันยังไม่สะท้อนศักยภาพที่แท้จริงของผู้ประกอบการรายย่อย เพราะยังมีระบบภาษีเหมาจ่ายที่ไม่สอดคล้องกับรายได้จริง จึงควรยกเลิกและปรับฐานภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้เหมาะสม พร้อมให้ SME ที่เข้าสู่ระบบได้รับสิทธิ์ยกเว้นภาษีย้อนหลัง เพื่อสร้างแรงจูงใจในเชิงบวก
ส่วนระบบ “พี่เลี้ยงและที่ปรึกษา” สำหรับผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อช่วยวางแผนทางการเงิน การตลาด และบริหารจัดการอย่างมีวินัย โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น ขณะเดียวกัน ภาครัฐต้องเร่งพัฒนา “SMEs Data Driven Policy” เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ใช้เป็นฐานข้อมูลกลางในการวิเคราะห์เชิงนโยบายและติดตามผลอย่างต่อเนื่อง
นายแสงชัยเตือนว่า สิ่งที่ขาดหายไปจากนโยบายภาครัฐเกือบทั้งหมดคือ เจ้าภาพกำกับจริง และระบบติดตามผลที่ต่อเนื่อง หากไม่มีการกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน ต่อให้ทุ่มงบประมาณลงไปมากเพียงใด ก็ไม่เกิดผลลัพธ์ในเชิงเศรษฐกิจ
พร้อมกันนั้น เขายังกล่าวถึงนโยบาย “คนละครึ่งพลัส” ซึ่งรัฐบาลเตรียมเปิดดำเนินการในเฟสแรก ว่าเป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะช่วย “จุดพลังเศรษฐกิจฐานราก” และผลักดันผู้ประกอบการรายย่อยกว่า 2.7 ล้านรายเข้าสู่ระบบพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกลุ่ม Micro Enterprises ที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ
จากข้อมูลสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย พบว่ากลุ่มนี้มีจำนวนกว่า 818,000 รายทั่วประเทศ ประกอบด้วยร้านของชำ 408,000 ราย ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 297,000 ราย และร้านเสริมสวยกว่า 112,000 ราย ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาการจ้างงานของแรงงานในระดับท้องถิ่น การสนับสนุนให้เข้าร่วมโครงการจึงไม่เพียงกระตุ้นกำลังซื้อ แต่ยังช่วยคงการจ้างงานและรายได้ในชุมชน
นายแสงชัยเสนอว่า รัฐบาลควรใช้แนวทาง “ล่าง–ดันกลาง–ขยายบน” เพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ทั่วระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ฐานรากจนถึงระดับกลางและบนของห่วงโซ่ธุรกิจ โดยในอนาคตควรเปิดสิทธิ์ให้ SME ขนาดเล็กและกลางที่อยู่ในระบบภาษีสามารถเข้าร่วมมาตรการได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจครบวงจร
“แนวทางที่ถูกต้องไม่ใช่เพียงกระตุ้นล่างเท่านั้น แต่ต้อง ‘กระตุ้นล่าง ดันกลาง ขยายบน’ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนรายได้ทั่วระบบ” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าการผลักดัน SME ให้เติบโตอย่างเป็นระบบ จะช่วยเปลี่ยนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจาก ‘ภาระ’ ให้กลายเป็น ‘ผลิตภาพ’ ของประเทศ