ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มทะลุ 1.2 หมื่นล้าน ‘มาลี‘ เร่งเจาะตลาดจีน-เกาหลี

27 ต.ค. 2568 | 07:55 น.
อัปเดตล่าสุด :27 ต.ค. 2568 | 08:15 น.

มาลี กรุ๊ป วางแผนขยายพอร์ตต่างประเทศเต็มสูบ รุกจีน–เกาหลี–ตะวันออกกลาง พร้อมเปิดตัวพรีเซนเตอร์นักแสดงจีนขับเคลื่อนแบรนด์ “Malee COCO” เสริมภาพลักษณ์สินค้าสุขภาพระดับพรีเมียม ตั้งเป้าโตเฉลี่ย 10–15% ต่อปี

KEY

POINTS

  • ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท โดยมีแนวโน้มเติบโตจากเทรนด์รักสุขภาพ
  • มาลีประกาศแผนรุกตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ โดยมุ่งเน้นตลาดศักยภาพสูงอย่างจีนและเกาหลีใต้
  • เตรียมเปิดตัวพรีเซนเตอร์นักแสดงชาวจีนสำหรับแบรนด์น้ำมะพร้าว Malee COCO เพื่อเสริมภาพลักษณ์ในตลาดจีน
  • บริษัทตั้งเป้าทรานส์ฟอร์มสู่ ‘Global Wellbeing Company’ ภายในปี 2571 พร้อมเพิ่มสัดส่วนธุรกิจแบรนด์ของตนเอง

นายเอกรินทร์ พินิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MALEE ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า กว่า 47 ปีที่ มาลี กรุ๊ป ยืนหยัดในฐานะแบรนด์ที่เชื่อในพลังจากธรรมชาติจากพืชและนม ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสุขภาพที่ดีและความสุขในทุกๆวัน

ส่งผลให้ Malee เป็นแบรนด์ครองความเป็นผู้นำตลาดอันดับ 1 ในกลุ่มน้ำผลไม้พรีเมียมพร้อมดื่ม มีผลิตภัณฑ์ที่ส่งออกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าสร้างบริบทครั้งใหม่ ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Beyond Fruit to Global Wellbeing’ เพื่อทรานส์ฟอร์มองค์กรครั้งสำคัญสู่ ‘Global Wellbeing Company’ หรือบริษัทที่ส่งมอบสุขภาวะระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบในปี 2571

โครงสร้างธุรกิจและศักยภาพการผลิต

ปัจจุบันมาลีมีพอร์ตธุรกิจในประเทศ 60% และต่างประเทศ 40% แบ่งเป็นธุรกิจตราสินค้า (Brand Business) 35% และธุรกิจรับจ้างผลิต (Contract Manufacturing) 65%

ในครึ่งแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 3,824 ล้านบาท โดยมาจากธุรกิจแบรนด์ 35% ธุรกิจรับจ้างผลิต 64% และผลิตภัณฑ์นม “เดลี่ฟาร์ม” 1%

มาลีมีโรงงานผลิต 3 แห่ง ได้แก่

  • สามพราน (นครปฐม) ผลิตผลไม้กระป๋อง
  • ปากช่อง (นครราชสีมา) ผลิตนมและเครื่องดื่มจากนม
  • ประเทศเวียดนาม ผลิตทั้งสินค้าภายใต้แบรนด์และรับจ้างผลิต

รวมมีกำลังการผลิตรวมกว่า 749 ล้านลิตรต่อปี พร้อม 1 ฟาร์มรองรับวัตถุดิบด้านนมเพื่อเพิ่มความมั่นคงของซัพพลายเชน

ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มทะลุ 1.2 หมื่นล้าน ‘มาลี‘ เร่งเจาะตลาดจีน-เกาหลี

กางแผนยุทธศาสตร์เติบโตระยะ 3 ปี

แผนปี 2569–2571 มาลีมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพกำลังการผลิต และพัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อลดต้นทุน พร้อมรุกตลาดใหม่ในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าให้ธุรกิจแบรนด์เติบโตจาก 35% เป็น 55% ของรายได้รวมในปี 2571

กลยุทธ์หลักคือ “โตด้วยแบรนด์ตัวเอง” ผ่านการสร้างนวัตกรรมสินค้าใหม่ (New Category) และการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต พร้อมขับเคลื่อนบริษัทลูก Malee Applied Science (MAS) ให้เป็นฐานพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาหารเสริม และเครื่องดื่มฟังก์ชัน เพื่อสร้างรายได้ใหม่ในตลาดสุขภาพระดับโลก

รุกตลาดต่างประเทศ–พรีเซนเตอร์จีนหนุน “Malee COCO”

ในปี 2569 มาลีจะรุกตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ โดยเน้น จีน เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย และตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นตลาดศักยภาพของเครื่องดื่มน้ำมะพร้าวและน้ำผลไม้พรีเมียม โดยเตรียมเปิดตัวพรีเซนเตอร์นักแสดงชื่อดังชาวจีนสำหรับแบรนด์ Malee COCO เพื่อเสริมภาพลักษณ์สินค้าสุขภาพระดับพรีเมียม

ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มทะลุ 1.2 หมื่นล้าน ‘มาลี‘ เร่งเจาะตลาดจีน-เกาหลี

ปัจจุบันมาลีส่งออกสินค้าไปแล้วกว่า 30 ประเทศทั่วโลก และมองตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย จอร์แดน และกาตาร์ เป็นจุดหมายการขยายตัวระยะยาว พร้อมเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในธุรกิจรับจ้างผลิต (CMG)

ตลาดเครื่องดื่มผลไม้พร้อมดื่มโตแรง มูลค่าแตะ 12,000 ล้านบาท

ปัจจุบันตลาดเครื่องดื่มน้ำผักและผลไม้พร้อมดื่มในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นตลาดพรีเมียมราว 4,000 ล้านบาท โดยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 2% จากเทรนด์ผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น

ตลาดน้ำผลไม้พร้อมดื่มทะลุ 1.2 หมื่นล้าน ‘มาลี‘ เร่งเจาะตลาดจีน-เกาหลี

ในปี 2568 ภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านส่งผลให้การส่งออกของมาลีชะลอตัวบางส่วน โดยตลาดเมียนมาและกัมพูชาหดตัวราว ซึ่งสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาประมาณ 4% พม่า 1%แต่บริษัทมั่นใจว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวในปีหน้า และจะกลับมาเติบโตตามแผน

มาลีผนึกพลัง “One Malee” ก้าวสู่ Global Wellbeing Company

ภายใต้วิสัยทัศน์ “Beyond Fruit to Global Wellbeing” บริษัทหลอมรวมพนักงานทุกหน่วยภายใต้แนวคิด “One Malee” เพื่อขับเคลื่อนพันธกิจเดียวกัน คือการส่งมอบคุณค่าด้านสุขภาพและความสุข (Healthier & Happier) สู่ผู้บริโภคทั่วโลก

มาลีตั้งเป้าไม่เพียงเป็นผู้นำตลาดน้ำผลไม้ แต่จะขยายสู่ธุรกิจสุขภาพครบวงจร และก้าวสู่การเป็น “Global Wellbeing Company” ภายในปี 2571 อย่างเต็มรูปแบบ