การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ! ‘เบทาโกร’ แนะภาคธุรกิจพึ่งตัวเอง-รุกตลาดโลก

02 ก.ย. 2568 | 18:54 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ย. 2568 | 19:21 น.

‘เบทาโกร’ ชี้การเมืองไทยขาดเสถียรภาพ กระทบความเชื่อมั่น แนะ 3 แนวทางสำหรับผู้ประกอบการ เดินหน้าธุรกิจด้วยตัวเองให้อยู่รอดโดยไม่หวังพึ่งรัฐบาล พร้อมดันเศรษฐกิจโตด้วยการบุกตลาดต่างประเทศ

KEY

POINTS

  • เบทาโกรชี้ว่าการเมืองไทยขาดเสถียรภาพและเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้การเจรจาการค้ากับต่างประเทศไม่ต่อเนื่อง ภาคธุรกิจไม่สามารถพึ่งพารัฐบาลในการเปิดตลาดใหม่ได้
  • ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพึ่งพาตนเองเพื่อความอยู่รอด และต้องหันไปรุกตลาดต่างประเทศเป็นหลัก เนื่องจากตลาดในประเทศไม่เติบโต
  • เสนอ 3 แนวทางให้ธุรกิจปรับตัว ได้แก่ การมองตลาดและพัฒนาศักยภาพตนเองให้แข่งขันได้, การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อลดต้นทุน, และการวิจัยเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ

ดร. ภณธกร วงศ์เจริญ กรรมการสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ศูนย์นวัตกรรมอาหารเครือบริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในมุมมองของผู้ประกอบการที่มีต่อปัญหาทางการเมือง ไม่ว่าประเทศไทยจะมีการเมืองแบบไหนหรือใครเป็นรัฐบาล ก็ไม่สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศได้มากนักในปัจจุบัน

เนื่องจากพื้นฐานของจำนวนประชากรไทยไม่เติบโต ยังคงอยู่ในระดับจำนวนเฉลี่ย 66 ล้านคนมานานหลายปีแล้ว และอัตราการเสียชีวิตมากกว่าอันตราการเกิด หากประเทศไทยอยากเติบโตทางเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่จะต้องพึ่งพาตลาดในต่างประเทศมากกว่า แน่นอนว่าการสร้างธุรกิจหรือหาตลาดในต่างประเทศ ยังคงเป็นหน้าที่หลักของผู้ประกอบการโดยตรง น้อยมากที่พึ่งพารัฐบาลได้ เพราะการเมืองของไทยขาดเสถียรภาพ 

โดยภาครัฐทั้งรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีของประเทศไทศเปลี่ยนแปลงบ่อย นโยบายก็เปลี่ยนตามไปด้วย สถานการณ์ไม่มีความแน่นอน เมื่อต้องเจรจาการค้าระหว่างประเทศจึงไม่ต่อเนื่องราบรื่นมากนัก สะท้อนไปถึงความน่าเชื่อถือในการบุกเบิกเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ

ดร. ภณธกร กล่าวว่า ภาพรวมของผู้ประกอบการไทยในธุรกิจต่างๆ ส่วนใหญ่ต้องดิ้นรนหาตลาดด้วยตัวเองและไม่มีรัฐบาลเข้ามาช่วย หากเป็นรายใหญ่จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่หากเป็นผู้ประกอบการรายเล็กระดับกลางลงไปจนถึงรายย่อยที่สายป่านยังไม่ยาวหรือเงินลงทุนน้อย ต้องมีความพยายามสูงและเหนื่อยมาก การออกไปหาตลาดต่างประเทศเพื่อรับออร์เดอร์ต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย และในกรณีนี้ก็จำเป็นต้องมีภาครัฐเข้ามาช่วย

ดังนั้น อาจมองได้ว่าเรื่องการเมืองส่งผลกระทบในหลากหลายธุรกิจ แต่ในภาคธุรกิจอาหารยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ค่อยหยิบยกมาเป็นประเด็น โดยเฉพาะผู้ผลิตสินค้าอาหารส่งออกไปต่างประเทศ ยกเว้นในกรณีที่สำคัญจริงๆ เช่น การเจรจาเรื่องภาษีสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม หากประเทศไทยยังคงขาดเสถียรภาพทางการเมืองต่อไป ผู้ประกอบการในธุรกิจต่างๆ จะต้องพึ่งพาตัวเองและอยู่รอดให้ได้ อย่างน้อยต้องมี 3 แนวทาง คือ

  • ต้องมองตลาดให้ออก แล้วหันมองศักยภาพของตัวเราเอง เพื่อพัฒนาให้แข่งขันได้ในตลาดโลก
  • ต้องอยู่ให้รอดด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการลดต้นทุน การใช้ AI เทคโนโลยีต่างๆ
  • ทำ R&D วิจัยและพัฒนา ฉีกกรอบออกจากตลาดเดิม สร้างโอกาสใหม่ด้วยตัวเองเพื่อเดินหน้าธุรกิจต่อไป

“ในฐานะหนึ่งในตัวแทนของผู้ประกอบการและอยู่ในสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทยด้วย ไม่มีความกังวลมากนักเกี่ยวกับเรื่องการเมือง เพราะภาคธุรกิจจะต้องเดินหน้าต่ออยู่แล้ว โดยเฉพาะด้านอาหารที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานของมนุษย์ แต่ถ้าให้ดีการขับเคลื่อนประเทศไทยในความคิดเห็นส่วนตัวควรมีภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคการศึกษา ทำงานร่วมกันทั้ง 3 ส่วน โดยต้องรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน พร้อมรับฟังประชาชนผู้บริโภค Voice of Custome จึงจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุด”