เอกชนชี้นายกฯคนใหม่ต้องเป็นคนดี-เก่ง มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ

02 ก.ย. 2568 | 01:46 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ย. 2568 | 01:46 น.

ส.อ.ท.ชี้สเปคนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเป็นคนดี-เก่ง มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ กล้าตัดสินใจ ด้านดรีมทีมเศรษฐกิจควรมาจากพรรคเดียวกัน

KEY

POINTS

  • นายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน กล้าตัดสินใจ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนและประชาชนได้
  • คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจ ควรเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญ เพื่อให้การดำเนินนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ภาคเอกชนมองว่ารัฐบาลควรมีเสถียรภาพและมีระยะเวลาบริหารที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถดำเนินนโยบายปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาวได้สำเร็จ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงประเด็นเรื่องนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า การได้มาซึ่งนายกฯ และครม.คงต้องเป็นไปตามกรอบรัฐธรรมนูญและกติกาที่มีอยู่ 

สิ่งสำคัญอยู่ที่การคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมกับงาน มีคุณสมบัติที่ตรงกับหน้าที่ และมีความเข้าใจเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ต้องคัดทั้ง “คนดีและคนเก่ง” มาร่วมทำงาน 

“ประเทศไทยอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ท้าทายมาก จึงเห็นว่าจำเป็นต้องมีนายกฯที่มีความเป็นผู้นำสูง มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน กล้าตัดสินใจ ที่สำคัญต้องสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและประชาชน ซึ่งเป็นกุญแจหลักที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้”

ในส่วนของครม.ก็ควรเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญที่ครอบคลุมด้านต่างๆ เช่น การคลัง การลงทุน การค้าทั้งในและระหว่างประเทศ อุตสาหกรรม การศึกษา การพัฒนาบุคลากร และเทคโนโลยี นวัตกรรม เพื่อให้การดำเนินนโยบายเชิงรับและเชิงรุกเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวให้ฟื้นขึ้น แก้ไขกฏหมายและปรับโครงสร้างภาษีให้ทันสมัย ไม่ซ้ำซ้อน 

เอกชนชี้นายกฯคนใหม่ต้องเป็นคนดี-เก่ง มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ

รวมทั้งช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SMEs) ที่เปราะบาง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย

ขณะที่ทีมเศรษฐกิจนั้น ในความคิดเห็นส่วนตัวต้องการได้ดรีมทีมเศรษฐกิจที่แท้จริงที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ พร้อมทำงานเป็นทีม เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยที่ซบเซามานาน ให้กลับเข้าสู่การเป็นผู้นำในภูมิภาคได้อีกครั้ง และก้าวพ้นกับดักความยากจนได้อย่างมั่นคง

 

โดยดรีมทีมควรมาจากพรรคเดียวกัน ภายใต้การนำเดียวกัน เพื่อทำงานได้อย่างสอดคล้อง หากเป็นทีมที่มาจากต่างขั้วทางการเมือง อาจมีวิสัยทัศน์และนโยบายไม่ตรงกัน ต้องมาเริ่มต้นใหม่ ทำให้เสียเวลา ขณะที่เศรษฐกิจไทยไม่มีเวลาลองผิดลองถูกอีกแล้ว

กระทรวงหลักที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ได้แก่กระทรวงการคลัง กำกับดูแลนโยบายการเงินการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันการผลิตและอุตสาหกรรมใหม่ 

กระทรวงพาณิชย์ วางทิศทางการค้าและการส่งออก และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมสนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรม

นอกจากนี้ ยังมีกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอย่าง กระทรวงแรงงาน เสริมกำลังคนและการจ้างงาน กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 

กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ฟื้นฟูและยกระดับการท่องเที่ยว รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พัฒนาเกษตรกรรม ระบบชลประทาน และสนับสนุนเกษตรกร สินค้าทางการเกษตร เมื่อรวมกันแล้ว กระทรวงเหล่านี้ คือกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจไทย การบริหารภายใต้นโยบายและวิสัยทัศน์ทางการเมืองเดียวกัน จะทำให้การขับเคลื่อนเป็นเอกภาพ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด

อย่างบไรก็ดี หากถามว่ารัฐบาลเฉพาะกาล 4 เดือนเพียงพอหรือไม่ หรือควรอยู่ยาวก่อนยุบสภา มองว่า 4 เดือนถือว่าสั้นเกินไป ทำอะไรไม่ได้ โดยเฉพาะการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพราะการฟื้นฟูเศรษฐกิจไม่สามารถเห็นผลได้ภายในเวลาสั้นๆ หากรัฐบาลอยู่ต่อเพียง 4 เดือน สิ่งที่จะทำได้จริง คือ มาตรการเฉพาะหน้า เช่น การอัดฉีดเงินหรือการกระตุ้นการท่องเที่ยว แต่ในมิติของการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ต้องใช้ความต่อเนื่องและการดำเนินงานแบบบูรณาการ 

ดังนั้น จึงเห็นว่าการมีรัฐบาลที่อยู่ต่อในระยะเวลาที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถดำเนินนโยบายเชิงโครงสร้างได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปฏิรูปภาษี การปรับปรุงกฎระเบียบ และการสนับสนุน SMEs

รวมถึงสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดความผันผวนที่เกิดจากการเมือง และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

และมีเวลาพอที่จะเดินหน้านโยบายระยะยาว เช่น การผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ