นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ 'ฐานสเศรษฐกิจ' ว่าแม้จะเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของประเทศ แต่สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย โดยชี้ว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในไตรมาส 2 ปี 2568 เติบโตเพียงร้อยละ 2.8 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น เวียดนามที่ร้อยละ 8.0 และฟิลิปปินส์ร้อยละ 5.5
นายแสงชัยระบุว่า ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในปัจจุบันเผชิญปัญหาหลายด้าน อาทิ เศรษฐกิจชุมชนที่ซบเซา กำลังซื้อของประชาชนที่ลดลง รายได้ที่สวนทางกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น รวมถึงปัญหาการขาดสภาพคล่องและภาวะหนี้นอกระบบที่เพิ่มขึ้น ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นที่ไม่เพียงพอ นอกจากนี้ การขาดความเชื่อมั่นทางการเมืองยังส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนต่างชาติ (FDI) และนักท่องเที่ยว ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการบริโภคโดยตรง
แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง แต่ทางสมาพันธ์ฯ ชี้ว่ารัฐบาลจำเป็นต้องเร่งวางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง ได้แก่ สร้างภาพลักษณ์ประเทศ (Thailand Branding) มุ่งเน้นเศรษฐกิจมูลค่าเพิ่มและส่งเสริมการใช้สินค้าและวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content)
ลดต้นทุนและปฏิรูประบบ โดยเร่งปรับโครงสร้างพลังงานสะอาดเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ และปฏิรูประบบบริการภาครัฐสู่ดิจิทัลและบล็อกเชน เพื่อลดอุปสรรคทางกฎหมายและระเบียบที่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจ และควบคุมปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ วางกลไกการปราบปรามปัญหาการสวมสิทธิ์ส่งออก นอมินี และการทุจริตคอร์รัปชัน พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ธุรกิจและแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบเพื่อขยายฐานภาษีอย่างเป็นธรรม
นายแสงชัย ย้ำว่าหากการแก้ปัญหายังเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าและขาดวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เศรษฐกิจไทยจะยังคงเผชิญกับการ "รอคอย" อย่างไร้ทิศทาง และทำให้ประเทศไม่สามารถยืนได้อย่างแข็งแกร่งบนเวทีโลก