ร้านอาหารญี่ปุ่น ปรับแนวรบสู้ เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อแผ่ว ลูกค้าต่างชาติหาย

25 ก.ค. 2568 | 22:10 น.

พิษเศรษฐกิจ-กำลังซื้อแผ่ว บิ๊กทุนร้านอาหารญี่ปุ่นปรับแนวรบ “โม โม พาราไดซ์” ปรับโครงสร้างบริหาร-โอเปอเรชั่นรอเศรษฐกิจฟื้น “MAGURO” กระจายความเสี่ยงพัฒนาแบรนด์ใหม่ - ขายแฟรนไชส์ รุกตลาดต่างจังหวัด “เซ็น กรุ๊ป” รีเฟสแบรนด์ พลิกภาพทันสมัย เจาะนักชิมรุ่นใหม่

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ธุรกิจร้านอาหารยังคงมีการเติบโตต่อเนื่อง จากในปี 2566 ที่มีมูลค่า 4.35 แสนล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 7.1% เป็น 5.45 แสนล้านบาท เติบโต 8.9% ในปี 2567 ขณะที่ในปี 2568 คาดว่ามูลค่าธุรกิจร้านอาหารจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.72 แสนล้านบาท เติบโต 4.8%

แบ่งเป็น 1. ร้านอาหารที่ให้บริการเต็มรูปแบบ (Full Service Restaurants) อาทิ ร้านอาหารญี่ปุ่น เกาหลี ไทย ทั้งแบบ A la Carte , Casual Dining และ Buffet มีมูลค่าราว 2.13 แสนล้านบาท เติบโต 2.9%

2. ร้านอาหารที่ให้บริการจำกัด (Limited Service Restaurants) อาทิ ร้านไก่ทอด , พิซซ่า ฯลฯ มีมูลค่าราว 9.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 3.8% และ 3. ร้านอาหารข้างทาง (Street Food) ที่มีหน้าร้าน มีมูลค่าราว 2.66 แสนล้านบาท เติบโต 6.8%

ร้านอาหารญี่ปุ่น ปรับแนวรบสู้ เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อแผ่ว ลูกค้าต่างชาติหาย

โดยธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ยังเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมสูงสุด มีการเติบโตและขยายสาขาต่อเนื่อง โดยพบว่าในปี 2567 มีร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศรวม 5,916 ร้าน เติบโต 2.9% (ข้อมูลจากเจโทร กรุงเทพฯ) ซึ่งในปีนี้แนวโน้มการเติบโตจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เมื่อผู้ประกอบการต้องเผชิญกับวิกฤตด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน

นายสุรเวช เตลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด ผู้บริหารร้าน “โม โม พาราไดซ์” (Mo-Mo-Paradise) กล่าวกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า บทเรียนสำคัญจากประสบการณ์ในธุรกิจร้านอาหาร คือการมีโครงสร้างการบริหารที่ดี และการวางแผนที่รอบคอบ โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แม้สถานการณ์ไม่เป็นใจ แต่ Mo-Mo Paradise ยังคงรักษาผลประกอบการที่ดีได้ไม่ต่างจากปีที่ผ่านมา

“ตลอด 18 ปีที่ผ่านมาเรียนรู้ว่า การขายดีไม่ใช่การันตีความสำเร็จในระยะยาว การขยายตัวต้องมาพร้อมกับการวางแผนอย่างรอบคอบและการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต”

หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ การบริหารการเงินซึ่งเป็นจุดอ่อนของหลายธุรกิจร้านอาหาร แม้บางธุรกิจจะมียอดขายดี แต่หากการบริหารการเงินไม่ดี ก็อาจเผชิญปัญหาทางการเงินได้“วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งกว่าผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากเป็นการกดดันอย่างต่อเนื่องที่มีผลกระทบยาวนาน”

ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่แน่นอนเราเลือกที่จะชะลอการขยายสาขาใหม่และมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและการบริการที่มีคุณภาพ และในช่วงสองปีที่ผ่านมา บริษัทได้ปรับปรุงโครงสร้างทีมบริหารและปรับปรุงระบบการทำงานในร้านอาหาร

นายสุรเวช เตลาน

พร้อมกับการแตกไลน์ร้านอาหารใหม่ภายใต้เครือ Noble Restaurant โดยมีทั้งหมด 5 แบรนด์ ได้แก่ Mo-Mo-Paradise, Mo-Mo-Paradise Gold, Nabezo Premium, Gyukatsu Kyoto Katsugyu และ Guljak Topokki & Chicken ปัจจุบัน Mo-Mo Paradise มีสาขาทั้งหมด 31 สาขา และตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้ โดยมุ่งเน้นการเตรียมพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

ขณะที่ นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MAGURO กล่าวว่า แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในบางทำเล โดยเฉพาะในพื้นที่ CBD ที่มีการแข่งขันสูง แต่บางพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ กลับมีการเติบโต แม้ภาพรวมธุรกิจอาหารจะยังคงติดลบ เนื่องจากจำนวนร้านค้าที่เกินอุปสงค์และการลดลงของกำลังซื้อ

ทั้งนี้ MAGURO เน้นการกระจายความเสี่ยงโดยการพัฒนาแบรนด์ใหม่ๆ ที่สามารถเสริมสร้างซึ่งกันและกัน เช่น การขยายจากอาหารญี่ปุ่นไปสู่ชาบูแบบนั่งเดี่ยว ที่ช่วยลดการพึ่งพาแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเกินไป

นายจักรกฤติ สายสมบูรณ์

ล่าสุด บริษัทได้เลือกใช้กลยุทธ์แฟรนไชส์ในการขยายธุรกิจ โดยมุ่งไปยังกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมแมส ซึ่งมีกำลังซื้อต่อบิลที่เหมาะสมกับแบรนด์ใหม่ การใช้แฟรนไชส์ช่วยสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ และเสริมสร้าง Eco System ที่แข็งแกร่งผ่านการ Sharing Resources และ Synergy ระหว่างแบรนด์ต่างๆ

MAGURO ยังมองว่าตลาดต่างจังหวัดเป็นโอกาสที่สำคัญในการขยายแบรนด์ โดยการสร้างมูลค่าและตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในหัวเมืองใหญ่ๆ นอกกรุงเทพฯ

เราเลือกลงทุนแบรนด์ใหม่ BINCHO ซึ่งจะช่วยแก้ Pain Point ของผู้บริโภคในยุคเศรษฐกิจชะลอตัวที่ต้องการควบคุมงบประมาณในการทานอาหาร โดยเสิร์ฟอาหารในรูปแบบ “เทโชกุ” หรือเซตอาหารครบครันในราคาที่เข้าถึงง่าย (300-600 บาทต่อคน) ตั้งเป้าขยายสาขา 10-20 สาขาใน 2-3 ปี เน้นทำเลในห้างสรรพสินค้า พร้อมงบลงทุน 10 ล้านบาทต่อสาขา โดยสาขาที่ 2 มีแผนเปิดต้นปี 2569

ร้านอาหารญี่ปุ่น ปรับแนวรบสู้ เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อแผ่ว ลูกค้าต่างชาติหาย

ด้านนางสาวจอมขวัญ จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจร้านอาหารบริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ปจำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน เช่น การนำเข้าวัตถุดิบบางประเภทจากต่างประเทศ

ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริหารต้นทุน รวมไปถึงความท้าทายในด้านพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม เช่น นักท่องเที่ยวและลูกค้าคนไทยที่มีพฤติกรรมการทานอาหารที่แตกต่างกัน ขณะที่ธุรกิจยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และการลดลงของนักท่องเที่ยวในช่วงที่ผ่านมา

ในครึ่งปีหลังนี้ เซ็น กรุ๊ป มีแผนรีเฟสแบรนด์ใหม่ 3แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.Cyu Roll & Sushi Bar 2.Cyu Carnival Shabu & Yakiniku 3.On the Table พร้อมเปิดร้าน Zen Flagship Store เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในพอร์ตร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือเซ็น กรุ๊ป โดยร้านอาหารญี่ปุ่นยังถือเป็นสัดส่วนรายได้สูงสุดราว 60-70% ของรายได้ทั้งหมด

ร้านอาหารญี่ปุ่น ปรับแนวรบสู้ เศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อแผ่ว ลูกค้าต่างชาติหาย

เซ็น กรุ๊ปยังมีแผนการปรับโฉมร้าน On the Table ในเดือนสิงหาคมในรูปแบบใหม่นั้นจะนำร่องปรับที่สาขาเซ็นทรัลปิ่นเกล้าก่อน จากนั้นจะทยอยปรับในสาขาอื่นๆ ซึ่งปลายปี 2568 น่าจะได้เห็นสาขา On the Table โฉมใหม่ราว 2-3 สาขา การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ เพราะอยากให้ร้านมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ตรงกับ strategy ของแบรนด์มากที่สุด ปัจจุบัน เซ็น กรุ๊ปมีจำนวนสาขาทั้งหมด 169 สาขา

โดยเซ็น กรุ๊ปจะเน้นกลยุทธ์ Exclusivity Expansion หรือการขยายสาขาอย่างรอบคอบและเจาะจง นอกจากนี้ เรามองหาโอกาสใหม่ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการออกโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์พฤติกรรมการบริโภคของผู้บริโภคในปัจจุบัน การพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เช่น การขยายสู่รูปแบบแฟรนไชส์ หรือการต่อยอดแบรนด์ผ่านสินค้าอาหารพร้อมรับประทาน

เพื่อวางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกโดยเป้าหมายสำคัญของเซ็น กรุ๊ป คือการขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น เพราะเราเล็งเห็นว่า คนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูง ทั้งในแง่จำนวนและกำลังซื้อ

 

หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,116 วันที่ 24 - 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2568