ท่ามกลางบรรยากาศเศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน “ปณิธาน ปวโรฬารวิทยา” ประธานกรรมการ บริษัท บูติคนิวซิตี้ จำกัด (มหาชน) บุตรชายของนางศิรินา (โชควัฒนา) ปวโรฬารวิทยา หนึ่งในผู้บริหารเครือสหพัฒน์ ได้สะท้อนกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงความรู้สึกของภาคเอกชนไทยในยุคที่ “ความเชื่อมั่น” (sentiment) แย่ แต่ยังเชื่อมั่นว่าความหวังและความสุขยังคงมีอยู่ หากทุกฝ่ายร่วมกันขับเคลื่อน
“สินค้าต้องแข่งขันได้ ไม่ใช่แข่งขันดั้มราคา” ปณิธานย้ำว่า แม้ราคาสินค้าบางอย่างอาจถูกลงได้ แต่ต้องแลกมาด้วยคุณค่า ไม่ใช่การลดทิ้งแบบไม่มีจุดหมาย โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมจาก “ใช้แล้วทิ้ง” ไปสู่ “ใช้แล้วใช้ซ้ำ” สินค้าที่จะอยู่รอดไม่ใช่สินค้าที่ถูกที่สุด แต่คือของที่ “มีมูลค่าเพิ่ม” และ “ใช้ได้มากกว่าหนึ่งครั้ง”
สำหรับเศรษฐกิจในประเทศ เขามองว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่ตัวเลข GDP หรือดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจอื่น ๆ แต่คือ “ความรู้สึก” ของผู้คนที่เริ่ม “ไม่อยากซื้อของ” เพราะตื่นขึ้นมาเจอแต่ข่าวร้ายทั้งในและนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสงครามอิหร่าน-อิสราเอล หรือความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศ ที่กลายเป็นกับดักทำให้การหมุนเวียนเศรษฐกิจหยุดชะงัก
“เหมือนก้นหอยที่ดิ่งลง และเราต้องรีเวิร์สให้กลับขึ้นมา”
ปณิธาน ย้ำว่าการใช้จ่ายคือหัวใจของเศรษฐกิจ หากทำให้ผู้คนรู้สึกอยากซื้อ อยากใช้ อยากมีความสุขกับสิ่งรอบตัวได้ ทุกอย่างจะกลับมาหมุนเวียนอีกครั้ง
ในฐานะเอกชน เขามองว่า “เราก็เดินอยู่” แต่จะเดินได้ดีมากหาก “เดินอยู่บนบันไดเลื่อน” และจะเหนื่อยมากหาก “ต้องเดินสวนทางกับบันไดที่เลื่อนลง” จึงเรียกร้องให้ภาครัฐทำหน้าที่ “เป็นบันไดเลื่อน” ที่ช่วยสนับสนุนภาคเอกชนให้เดินหน้าไปได้จริง ไม่ใช่เพียงการออกมาตรการที่ไม่สามารถกระตุ้นให้เกิด “การใช้จ่าย” ได้จริงจัง
ในมุมของธุรกิจแฟชั่น ปณิธานยอมรับว่าการแข่งขันดุเดือดจากแบรนด์ต่างประเทศที่เข้ามาพร้อมราคาถูกและคุณภาพไม่ยั่งยืน กำลังบีบให้แบรนด์ไทยต้อง “คิดให้ครบ” ตั้งแต่การออกแบบจนถึง Life cycle ของสินค้า ไม่ใช่แค่ขายดีแล้วจบ แต่ต้องคำนึงถึง “ผลกระทบต่อโลก” ด้วย
เขายกตัวอย่างการนำเสื้อที่ค้างสต็อกมาผลิตเป็นสินค้าคอลเลกชันใหม่ หรือการพัฒนาผ้าเหลือใช้ให้กลายเป็นของมีประโยชน์ และระบุว่า “เราภูมิใจไม่ใช่แค่การใส่ แต่ภูมิใจในที่มา ที่ไปของเสื้อผ้านั้นด้วย”
ในสายตาของเขา แฟชั่นในวันนี้ไม่ได้แข่งกันแค่ความสวยงามหรือราคาถูก แต่แข่งกันที่ “ความยั่งยืน” และ “ความรู้สึกของผู้ใช้” ที่อยากอยู่กับแบรนด์ในระยะยาว มากกว่าซื้อแล้วทิ้ง
“โลกมันวุ่นวาย แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ถึงวันนี้โลกจะเผชิญปัญหาใหญ่ ทั้งโลกร้อน ทั้งสงคราม แต่เราก็ยังทะเลาะกัน” เขากล่าวอย่างน่าคิด พร้อมทิ้งท้ายว่า “ประเทศไทยมีเสน่ห์ที่ไม่ใช่แค่รอยยิ้ม แต่คือความสุขที่หาได้จากสิ่งรอบตัว วันนี้เราต้องช่วยกัน ทำให้คนกลับมารู้สึกได้อีกครั้งว่า ความสุขยังมีอยู่ และเรายังเดินต่อได้”