นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด กล่าวว่า “บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดความงามไทยมีมูลค่า 2.7 แสนล้านบาท ในปี 2567 เติบโต 7-10%
โดยมีปัจจัยหนุนมาจาก ความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ความงามแบรนด์ไทยมีมากขึ้นในหมู่ผู้บริโภคไทย และ Made in Thailand คือคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยเฉพาะจากมุมมองของตลาดในอาเซียน หรือ เอเชีย ที่มองว่าสินค้าแบรนด์ไทย มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน อีกทั้งมีราคาเข้าถึงได้
เมื่อ T-Beauty (เครื่องสำอางของเมืองไทย) แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในระดับโลก ศรีจันทร์จึงต่อยอดความสำเร็จนี้ให้กลายเป็นโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการขยายสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค โดยเป้าหมายหลักคือ ตลาดอาเซียน และตลาดเอเชีย
โดยกลยุทธ์ในการเข้าถึงตลาดต่างประเทศ คือ เน้นในการหาคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อเป็น Distributor ในแต่ละตลาด โดยจะมุ่งเน้นไปยังบริษัทท้องถิ่นที่มีศักยภาพในการขายและทำการตลาดทั้ง Offline และ Online นอกเหนือจากการสร้างยอดขาย และการขยาย distribution แล้ว
ทางบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับและนิยมในภูมิภาคเอเชีย โดยตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้นจนมีสัดส่วนเป็น 10-15% ภายในเวลา 3 ปี
จากศักยภาพของบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ที่มีรากฐานที่แข็งแรง บวกกับการยอมรับ T-beauty ในระดับสากลที่เพิ่มมากขึ้น และถือเป็น Soft power ที่สำคัญของประเทศไทย นี่จึงเป็นรุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงของ T-Beauty และศรีจันทร์จะใช้โอกาสนี้ในการต่อยอดธุรกิจในตลาดต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อนำความเป็นไทยแบบ Modern Classic Thainessไปสู่ต่างประเทศผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพของศรีจันทร์
นายรวิศ กล่าวว่า ในช่วงปี 2564-2567 แม้จะเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องจากโควิด-19 แต่บริษัทสามารถปรับตัวรับความท้าทาย และพลิกเป็นโอกาสในการสร้างการเติบโต จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคทำให้บริษัทสามารถมียอดขายรวมกว่า 1,000 ล้านบาท
ตั้งแต่ปี 2566 และเติบโตต่อเนื่องแบบ Double Digit โดยเฉพาะเมื่อดูจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR)ของทั้งสองแบรนด์หลักอย่างศรีจันทร์ และ ศศิ ซึ่งอยู่ที่ระดับสูงถึง 51% และ 53% ต่อปีตามลำดับ โดยสรุปความสำเร็จของบริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด ในปี 2564-2568
1.การเติบโตรายประเภทผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เมคอัพ (11%) สกินแคร์ (148%) ครีมกันแดด (73%)
2.หมวดเมคอัพ สินค้าที่ขายดีที่สุดคือ แป้งฝุ่นโปร่งแสง Bare to Perfect Translucent Powder (10 g) เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มแป้งฝุ่น (Loose Powder) ในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ถึงเมษายน 2568 อ้างอิงจากข้อมูล NielsenIQ ประเทศไทย
3.ศรีจันทร์เข้าสู่ตลาดสกินแคร์ตั้งแต่ปี 2564 และในปี 2567 บริษัทสามารถมีการเติบโตถึง 117% ในหมวดสกินแคร์เมื่อเทียบกับปี 2566 และตั้งเป้าที่จะเพิ่มยอดขาย 45% ในปี 2568
4.หมวดสกินแคร์ สินค้าที่ขายดีที่สุดคือ SRICHAND Skin Moisture Burst Gel Cream Sachet (10 ml)
เป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า (Moisturizer for Face)
ในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ถึงเมษายน 2568 อ้างอิงจากข้อมูล NielsenIQ ประเทศไทย
5.ศรีจันทร์เป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวหน้า (Moisturizer for Face)ในประเทศไทย ระหว่างเดือนมกราคม 2567 ถึงเมษายน 2568 โดยมีอัตราการเติบโต 79% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่เติบโต 3.44% อ้างอิงจากรายงาน NielsenIQ ประเทศไทย ปี 2568
1.ก่อตั้งในปี 2560เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและแฟชั่น และ เป็นตัวแทนความฝันและความหวังของคนรุ่นใหม่
2.หัวใจสำคัญของ ศศิ คือการออกแบบสินค้าโดยเข้าใจความต้องการของวัยรุ่นเช่น Kiss & Blush Multifunction Cosmetics ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย ชิ้นเดียวใช้ได้ทั้งตา แก้ม ปาก และ Acne Sol Collection ตอบโจทย์กลุ่มวัยรุ่นในการแก้ไขปัญหาเรื่องสิว รวมไปถึงการใช้สีที่โดดเด่นในกลุ่มเมคอัพ
3.ศศิ มีการเติบโต CAGR มากกว่า 50% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2564-2567
ศรีจันทร์มีการขยายสู่ตลาดลาว โดยมีการเติบโตเฉลี่ยต่อปี12.5% ต่อปี สินค้าที่ได้รับความนิยม ช่วงปี 2564-2567 อยู่ในหมวดสกินแคร์ เช่น Moisture Burst Series, Sunscreen แป้งฝุ่นและรองพื้น สร้างการรับรู้แบรนด์ผ่านการสนับสนุนกิจกรรมระดับประเทศ เช่น สนับสนุนการประกวด Miss Universe Laos ในปี 2565-2567 การจัดงานและสนับสนุน Laos Fashion Week 2024 ฯลฯ และมีการใช้ Local Brand Presenter คือ “Nethdao” อินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังของลาว
นอกจากนั้น ยังมีสัญญาณตลาดที่ดีในตลาดญี่ปุ่นอีกด้วย ปัจจุบัน ศรีจันทร์มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มแป้งในตลาดญี่ปุ่นผ่านช่องทางออฟไลน์มากกว่า 2,000 ร้านค้าทั่วประเทศ ทำให้ BANDAI บริษัทผลิตของเล่นจากประเทศญี่ปุ่นขอซื้อลิขสิทธิ์ของตัวแป้ง เพื่อนำไปทำเป็นกาชาปอง โดยเลือกจากแป้งที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นทั้ง 6 แบบ
เบื้องหลังความสำเร็จที่เกิดขึ้นตลอดปี 2564 - 2568 มาจากการที่ศรีจันทร์เป็น Purposeful Brand ที่มีเป้าหมายต้องการจะเป็นแบรนด์ไทยระดับสากลที่เป็นความภูมิใจของคนไทยจากการใส่ใจผู้บริโภค เป้าหมายดังกล่าวจึงเชื่อมโยงไปสู่ 4 กลยุทธ์คือ
1. รักษาเอกลักษณ์ Modern Classic Thainess ของแบรนด์ไว้ด้วยความภูมิใจ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น ศรีจันทร์รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ในแบรนด์มาตลอดตั้งแต่ชื่อแบรนด์ที่ไม่เคยเปลี่ยน
2. การคัดเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นตัวแทนความเป็นไทยร่วมสมัย หาตัวแทนคนไทยที่มีความร่วมสมัยทั้งความคิด ความสามารถ และภาพลักษณ์ เข้าถึงง่าย ทำให้คนรู้สึกภูมิใจในความเป็นคนไทย ปัจจุบัน พรีเซ็นเตอร์ของศรีจันทร์ ได้แก่ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์ (Base Makeup) โบว์ เมลดา สุศรี (Sunscreen) แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล (SRICHAND IN-SKIN) และพรีเซ็นเตอร์ของ sasi ได้แก่ เก้า-สุภัสสรา ธนชาต (Face of sasi- Lipstick & Eyebrow) และ PROXIE (Face of sasi- Loose Powder & Foundation)
3. พัฒนาคุณภาพสินค้า ให้มีมาตรฐานเทียบเคียงระดับสากล ผ่านการลงทุนด้านคุณภาพ และ R&D เริ่มตั้งแต่การคัดเลือกผู้ผลิตที่ได้มาตรฐาน เรื่องคุณภาพให้เป็นไปตามข้อกำหนด ของบริษัท
4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดคนที่เชื่อแบบเดียวกันได้ สร้างวัฒนธรรมในการทำงานที่มุ่งเน้น “Resilience” เพื่อให้พนักงาน พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และสามารถดึงศักยภาพสูงสุดมาใช้ได้ โดยมี 4 แกนที่สำคัญคือ Outcome ผลลัพธ์ตรงตามเป้าหมาย Accountability ความรับผิดชอบต่องานที่ทำอย่างเต็มที่ และช่วยเหลือเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ Adaptability ปรับตัวและพร้อมเรียนรู้เรื่องใหม่ และ Speed คิดแล้วลงมือทำ ผิดพลาดรีบแก้ไข
นอกจากนั้น บริษัทยังให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่ให้คุณค่าความเท่าเทียมและการพัฒนาศักยภาพ เช่น ลาคลอดโดยได้รับค่าจ้าง (สูงสุด 6 เดือน) ลาดูแลภรรยาที่ตั้งครรภ์หรือคลอดบุตร (สูงสุด 1 เดือน) ลาผ่าตัดแปลงเพศ (สูงสุด 1 เดือน) ลาพักใจ กรณีสูญเสียบุคคลในครอบครัว 10 วันต่อปี ลาปฏิบัติธรรมหรือศาสนกิจ ฯลฯ