นางสาวเอมลินทร์ ธีรธนากิตติพงษ์(ไอติม) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอดีล แอนด์ มาเวลลัส เท็น จำกัด ผู้ก่อตั้งและเจ้าของแบรนด์ Beauty Product "LA GLACE" (ลา-กลาส) เล่าให้ฟังว่า LA GLACE ที่เกิดขึ้นจากความตั้งใจและความฝันของเอมลินทร์ กับ ทิวาทัพพ์ (เป็นแฟน) ในช่วงที่เขายังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเมื่ออายุ 19-20 ปี เมื่อ 8 ปีที่แล้ว แม้จะเริ่มต้นจากวัยรุ่นที่มีความฝันและความมุ่งมั่น แต่การก่อตั้งแบรนด์ไม่ง่ายเลย เพราะมีทั้งความท้าทายและอุปสรรคที่ต้องเผชิญ
ในช่วง 3 ปีแรกของการทำแบรนด์ กระแสตอบรับดีมาก จนทำให้มั่นใจในตัวเองมากเกินไป หรือที่เรียกว่า "อีโก้" ทำให้พลาดพลั้งไปหลายครั้ง โดยเฉพาะการโดนโกงจากทางฝั่งจีนในการซื้อสินค้า และปัญหาการผลิตจากโรงงานใหม่ขาดประสบการณ์ ซึ่งทำให้แบรนด์ต้องเจอปัญหาหนี้สินหนักถึง 20 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากการถูกวิจารณ์ในโซเชียลเรื่องสินค้าที่ใช้ยากและราคาที่แพง แต่ก็ไม่ยอมแพ้ โดยมองหาจุดอ่อนของตัวเองและนำมาแก้ไข เริ่มจากการใส่ใจในเรื่องของบริการหลังการขาย ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี และเมื่อลูกค้าประทับใจ ก็ได้บอกต่อ จนทำให้เกิดกระแสบวกในโลกออนไลน์
จากปัญหาที่เคยเกิดขึ้น จนสามารถพลิกวิกฤตกลับมาได้ สามารถชำระหนี้จนหมด และยังสามารถพัฒนาแบรนด์ต่อไปจนมาถึงวันนี้ โดยปัจจุบัน LA GLACE มีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางมากกว่า 80 SKU ครอบคลุมทั้งกลุ่ม Makeup, Skincare และ Mask Sheet และมีผลิตภัณฑ์ที่เป็น Product Hero ซึ่งได้รับความนิยมจากชาว Gen Z ในตลาด
เริ่มธุรกิจจากการขายสินค้าในช่องทางออนไลน์ของตัวเอง โดยมีตนเองเป็นพรีเซนเตอร์แนะนำและรีวิวสินค้า จาการทำคอนเทนต์และ Live ใน TIKTOK และ IG หลังจากนั้นก็ได้ขยายตลาดออนไลน์ไปในทุกช่องทาง ทั้งบัญชีทางการของบริษัท(OFFICIAL)และช่องทางใน market place
ทั้ง shopee, Lazada, TikTok และ Line Shop ฯ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้า Gen Z ทุกช่องทาง โดยปัจจุบันเฉพาะบัญชีOFFICIAL ของ La Glace มีผู้ติดตามรวมทุกช่องทางออนไลน์ถึง 1.5 แสน follower หรือผู้ติดตาม และมีฐาน Affiliate (นายหน้าขายสินค้าในออนไลน์) อีกกว่า 1.4 แสนคน
สำหรับในปี 2568 ได้ตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้นแตะหลัก 1,000 ล้านบาท โดยนอกจาก "บลัชดำ" ที่ยังคงขายดีอย่างต่อเนื่องแล้ว ปีนี้เรามี Product hero ตัวใหม่คือ LA GLACE DAILY TONER PADS แผ่นบำรุงผิวหน้าก่อนแต่งหน้า ที่ได้สร้างกระแสฟีเวอร์ ทันทีที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ และเปิดขายวันแรก จากการ Live เพียง 4 ชั่วโมง สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 31 ล้านบาท
โดยคาดว่าตลอดทั้งปีนี้จะสามารถทำยอดขาย LA GLACE DAILY TONER PADS ได้ถึง 600-700ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดขาย"บลัชดำ"และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำยอดขายโดยรวมมากกว่าปีละ 300-400ล้านบาท
ทำให้มั่นใจว่าจะสามารถไปถึงเป้าหมายได้ โดยสาเหตุที่ LA GLACE DAILY TONER PADS ได้การตอบรับอย่างดี เพราะด้วยนวัตกรรมล่าสุด คือแผ่นผ้าสำลีที่อุ้มน้ำบำรุงผิวหน้าได้ถึง 20 เท่าของน้ำหนัก ที่เราถือลิขสิทธิ์จากเกาหลีใต้ แต่เพียงผู้เดียวในไทย
นายทิวาทัพพ์ ธรารักษ์อนันต์ (เฟรนฟราย) ประธานเจ้าหน้าที่การตลาดและผู้ร่วมก่อตั้ง กล่าวว่า บริษัทมีแผนจะขยายตลาดไปยังต่างประเทศภายใน 3 ปีข้างหน้าคือตั้งแต่ปี 2569ถึง 2571 คือตลาดในเอเชีย รวมทั้งตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย
โดยหมุดหมายแรกที่จะออกไปคือ ฮ่องกง เพราะถือเป็น Gatewayประตูสู่ลูกค้า Gen Z ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ โดยตั้งเป้าว่าภายในปี 2571 ยอดขายทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท จะมียอดขายรวม 2,000ล้านบาท จากทั้งในและต่างประเทศ โดยต้องการสร้างการเติบโตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ อย่างมั่นคงและยั่งยืน
เพื่อเตรียมนำบริษัทระดมทุนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปีนี้ได้เริ่มเตรียมวางระบบด้านการเงินและบัญชีต่างๆเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดหุ้น
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ทั้งในแง่ต้นทุน ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ รวมถึงสามารถดึงคนเก่งๆ เข้ามาสร้างความแข็งแกร่งให้แบรนด์และเพื่อหาโอกาสในการขยายการลงทุนร่วมกับแบรนด์ที่มีศักยภาพทั้งในและต่างประเทศเพื่อขยายพอร์ตของ LA GLACE
คือ เรามีระบบที่ดูแลและบริการที่ดี ทั้งก่อนและหลังการขายให้กับลูกค้านอกจากนี้เรายังมีทีมงานที่เข้มแข็ง โดยอายุเฉลี่ยของทีมงานบริษัทเราจะอยู่ที่ 25 ปี และมีระบบทีม Live ที่แข็งแกร่ง การออกแบบคอนเทนต์ อย่างเป็นระบบ
ที่สำคัญยังมีระบบ Data ครอบคลุม SOV และ พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า ทำให้เรารู้จักและรู้ใจลูกค้า ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Z ได้อย่างตรงความต้องการ ทำให้เราสามารถเป็น Trendsetter ในวงการ Make Upได้อย่างดี ที่สำคัญเราได้สร้าง แบรนด์คอมมูนิตี้ LA GLACE club ที่แข็งแกร่ง
เพื่อเป็นช่องทางในการสื่อสาร ดึงคนที่มีคาแลคเตอร์ และ จริตเดียวกันกับแบรนด์มามีสังคมร่วกัน ทำให้สามารถเติบโตไปกับเทรนด์การแต่งหน้าได้อย่างยั่งยืน โดยล่าสุดเราได้รับสมัครทีมงาน ใน LA GLACE club ปรากฎว่า มีคนสนใจยื่นใบสมัครเป็นพันคน
สำหรับภาพรวมตลาด Beauty ปี 2568 มีมูลค่า 3.4 แสนล้านบาท มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มาจากพฤติกรรมผู้บริโภค คนเริ่มมีความสนใจในการสร้างแบรนด์ส่วนตัวและการเลือกซื้อเครื่องสำอางที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของตัวเองมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีความต้องการสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายและเฉพาะเจาะจง
การนำเสนอนวัตกรรม เช่น การทำการตลาดโดยใช้โทนสีหรือสูตรใหม่ ๆ ที่ทันสมัย ทำให้มีการแข่งขันในผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพเพิ่มขึ้น อีกทั้งการใช้โซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ช่วยในการโปรโมตสินค้ามีผลต่อการสร้างความนิยมในตลาดนี้อย่างมาก
ส่วนการนำเข้าเทรนด์จากประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านความงาม เช่น เกาหลีใต้และจีน ที่ยกระดับมาตรฐานสินค้าและส่งเสริมแนวทางการบริโภคใหม่ ๆ ในตลาดเครื่องสำอาง ผู้บริโภคเริ่มให้ความสำคัญกับการดูแลผิวและความงามมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดเครื่องสำอางมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
โดยจากข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2561 บริษัทมี รายได้ 6.64แสนบาท มีกำไรสุทธิ 1.45แสนบาท ปี2562 มีรายได้ 6.39ล้านบาท กำไร 5.12แสนบาท ปี2563 รายได้ 16.90ล้านบาท มีกำไร 3.19ล้านบาทปี2564 รายได้ 13.21ล้านบาท กำไร 1.1ล้านบาท
ปี2565 รายได้ 39.9ล้าน กำไร 1.65 ล้านบาท ปี2566 รายได้ 401.2ล้านบาท กำไร 108.1ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดดร่วม 1,000% ขณะที่ปี 2567 มีรายได้ 420 ล้านบาท กำไรสุทธิ 37.7 ล้านบาท
โดยสาเหตุที่ปี 2566 มียอดขายสูงกว่า 400ล้านบาท โตก้าวกระโดดร่วม 1000% และยอดขายยังสูงต่อเนื่องมาถึงปี 2567 เป็นผลจากยอดขายของสินค้าที่เป็น Product hero ที่เปิดตัวในปี 2566 คือ "บลัชดำ"หรือ BLACK MAGIC LIP & CHEEK PH BLUSH ที่ได้การตอบรับอย่างล้นหลาม ครองใจสาวๆ ที่ชอบนำเทรนด์ โดยสามารถทำยอดขายไปมากกว่า 1.5 ล้านชิ้น
ขณะที่ผลิตภัณฑ์ตัวอื่นยังคงได้รับความนิยม โดย LA GLACE MINI AIRY SKIN CONCEALER แบบซองสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 1.5 ล้านชิ้นเช่นกัน