อีฟแอนด์บอย รุกตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้าน ปูพรม 25 สาขาใหม่ ดันรายได้หมื่นล้านใน 3 ปี

22 พ.ค. 2568 | 11:23 น.
อัปเดตล่าสุด :22 พ.ค. 2568 | 11:31 น.

อีฟแอนด์บอย เติบโตถึง 40% กวาดรายได้กว่า 7,000 ล้านบาท สูงกว่าภาพรวมตลาดความงามไทยอย่างชัดเจน พร้อมเดินหน้าขยายอาณาจักรความงามครั้งใหญ่ในปี 2568 ด้วยการลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ 25 แห่ง ตอกย้ำศักยภาพตลาดบิวตี้ไทยที่ยังเติบโตได้อีกมหาศาล

ปี 2567 ตลาดความงามไทยมีมูลค่าสูงถึง 2.81 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 10.4% ปัจจัยเกื้อหนุนที่ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องมาจากช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซที่ยังโตแรง รวมถึงความนิยมของเครื่องสำอางแบรนด์ไทยโดยเฉพาะกลุ่มสินค้า SMEs ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ

อีฟแอนด์บอย รุกตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้าน ปูพรม 25 สาขาใหม่ ดันรายได้หมื่นล้านใน 3 ปี

นายหิรัญ ตันมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีฟแอนด์บอย จำกัด (EVEANDBOY) เปิดเผยว่า ด้านภาพรวมธุรกิจในปี 2567 ที่ผ่านมา พบว่า มีการเติบโตมากถึง 40% เป็นมูลค่า 7,000 ล้านบาท ซึ่งเกินจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยกลุ่มสินค้าที่มีสัดส่วนเติบโตมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มเครื่องสำอาง (MAKEUP) โตมากถึง 45% ตามมาด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (SKINCARE) 40% กลุ่มน้ำหอม (FRAGRANCE) 35% และกลุ่มอื่น ๆ ก็ยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในปี 2568 ตั้งเป้าเติบโตจากปีก่อนหน้า 30% และไตรมาสแรกของปี 2568

สำหรับภาพรวมของ อีฟแอนด์บอย ในปี 2567 คุณหิรัญระบุว่า "เราเติบโตอยู่ที่ 40% ยอดขายปิดไปที่ 7,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าภาพรวมตลาดความงามของประเทศไทยที่เติบโตประมาณ 10.4% ด้วยมูลค่ารวม 2.8 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา และสำหรับปี 2568 อีฟแอนด์บอย ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 30% ตั้งเป้า 3 ปี รายได้หมื่นล้าน

อีฟแอนด์บอย รุกตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้าน ปูพรม 25 สาขาใหม่ ดันรายได้หมื่นล้านใน 3 ปี

เมื่อถามถึงสถานการณ์ตลาดบิวตี้ในประเทศไทยปีนี้ นายหิรัญมองว่า "เป็นอีกปีที่ดีสำหรับธุรกิจความงาม หลายแบรนด์ประกาศผลประกอบการที่เติบโตอย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไฮเอนด์หรือแบรนด์ไทย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ความงามที่ซับซ้อนและหลากหลายขึ้น ทำให้ตลาดโดยรวมใหญ่ขึ้นมาก หากเทียบกับเกาหลีหรือญี่ปุ่น ตลาดเรายังเล็กกว่าถึง 4 เท่า ซึ่งหมายถึงโอกาสในการเติบโตอีกมากมาย"

5 ปัจจัยหลัก สู่ Beauty Store อันดับ 1 ของไทย

นายหิรัญ ชี้แจงถึงปัจจัยที่ทำให้ อีฟแอนด์บอย ยังคงรักษาความเป็น Beauty Store อันดับ 1 ของประเทศไทยไว้ได้ โดยสรุปเป็น 5 ข้อหลัก ดังนี้

  • Variety ที่หลากหลายและขนาดร้านใหญ่ที่สุด: อีฟแอนด์บอย มีสินค้าให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ราคา 9 บาท ไปจนถึงหลักหมื่นบาท และมีขนาดร้านที่ใหญ่ที่สุดเฉลี่ย 2,000 ตร.ม. (สำหรับแฟล็กชิปสโตร์) ทำให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและเปรียบเทียบสินค้าได้ครบจบในที่เดียว
  • ราคาที่ดีที่สุด: อีฟแอนด์บอย มุ่งมั่นนำเสนอโปรโมชั่นและราคาที่ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าได้สินค้าในราคาที่คุ้มค่าที่สุด
  • Exclusive Brand และ Exclusive Product: การนำเข้าแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ อีฟแอนด์บอย เท่านั้น เช่น Kylie Cosmetics, TIRTIR (คุชชั่นอันดับ 1 ในอเมริกา), Lilybyred (เมคอัพดังจากเกาหลี), Adidas (น้ำหอม), Cansel Cosmetics (กันแดดอันดับ 1 ในออสเตรเลีย) รวมถึงการทำ Collaboration กับแบรนด์ดังต่างๆ อาทิ Karma Kamet (แปรงสีฟันสีชมพู), Rojukiss (มาสก์หน้าสูตรพิเศษ), ศรีจันทร์ (ดินสอเขียนคิ้วสีพิเศษ) และ 4U2 (ลิปสติกสี Eveandboy)
  • บริการที่แตกต่าง: อีฟแอนด์บอย มีบริการเสริมที่แตกต่างจากคู่แข่ง เช่น บริการทำคิ้วจาก Benefit หรือการสอนแต่งหน้าจากแบรนด์ดังอย่าง MAC และ Bobbi Brown
  • ของแท้ 100%: อีฟแอนด์บอย เป็น Official Partner กับทุกแบรนด์ ทำให้ลูกค้ามั่นใจได้ว่าสินค้าที่ซื้อจาก อีฟแอนด์บอย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เป็นของแท้แน่นอน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในยุคที่สินค้าปลอมระบาดหนัก

กลยุทธ์การตลาดปี 2568: ขยายสาขา-เสริมออนไลน์-ชู Loyalty Program

นายหิรัญ เผยถึงกลยุทธ์การตลาดของ อีฟแอนด์บอย ในปีนี้ว่า "เรายังคงใช้วิธีที่เราถนัดและแข็งแกร่งเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทำ Exclusive Brand และ Exclusive Product รวมถึงการขยายสาขาใหม่ๆ ไปในจังหวัดที่ยังไม่มีสาขา" โดยในปีนี้ อีฟแอนด์บอย มีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 25 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งจะเป็นการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าสิ้นปีจะมีสาขารวม 65 แห่ง

อีฟแอนด์บอย รุกตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้าน ปูพรม 25 สาขาใหม่ ดันรายได้หมื่นล้านใน 3 ปี

"เราจะมีการ Re-launch แอปพลิเคชัน อีฟแอนด์บอยอีกครั้ง เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า" นอกจากนี้ ยังมีการลงทุนเพื่อขยายฐานสมาชิก อีฟแอนด์บอย ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2.7 ล้านคน โดยตั้งเป้าเพิ่มสมาชิกอีก 40% และมอบสิทธิประโยชน์มากมายผ่านแอปพลิเคชันใหม่ที่จะเปิดตัวตั้งแต่กลางปีนี้

ตลาดบิวตี้ไทยยังเล็ก...โอกาสเติบโตอีกมหาศาล

เมื่อถามถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ นายหิรัญแสดงความมั่นใจว่า "คนยังให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง บิวตี้เป็นสิ่งที่ผูกติดกับชีวิตคนอยู่แล้ว ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คนก็ยังรู้สึกว่าต้องให้ความสำคัญกับตัวเอง มันเป็นธุรกิจที่มี Growth ค่อนข้างเยอะ และขนาดของตลาดความงามในไทยยังเล็กมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทำให้เรามี Room ในการเติบโตได้อีกมาก"

อีฟแอนด์บอย รุกตลาดบิวตี้ 2.8 แสนล้าน ปูพรม 25 สาขาใหม่ ดันรายได้หมื่นล้านใน 3 ปี

นอกจากนี้ยังเผยถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปว่า "ลูกค้าเปลี่ยนคือเขาเบื่อง่ายขึ้น สมมติแบรนด์หนึ่งเคยอยู่ได้ 6 เดือน วันนี้จะอยู่ได้แค่ 3 เดือน ทุกคนต้องไว แบรนด์ก็ต้องไว เราเองก็ต้องไวในการหาแบรนด์ใหม่ๆ มาตอบสนองลูกค้า" นอกจากหมวดหมู่หลักอย่างสกินแคร์, เมคอัพ, และน้ำหอม EVEANDBOY ยังเห็นการเติบโตสูงในกลุ่มแฟชั่นเล็กๆ อย่าง Bra accessories, แผ่นปิดจุก, หรือกลุ่มสกินแคร์อย่าง Toner Pad (โทนเนอร์แบบแผ่นกลมๆ)

แม้ปัจจุบัน อีฟแอนด์บอย จะมีสัดส่วนยอดขายออนไลน์ประมาณ 10% และออฟไลน์ 90% คุณหิรัญเชื่อมั่นว่า "ยังไงก็ตามธุรกิจนี้ลูกค้าต้องมาเจอ ต้องมาลอง เพราะต่อให้เทคโนโลยีจะล้ำแค่ไหน AI ช่วยเลือกสีได้ แต่ AI ช่วยเลือก Texture หรือเฉดสีที่เข้ากับสภาพผิวของแต่ละคนไม่ได้ ลูกค้าจึงจำเป็นต้องมาลองสินค้าจริง" โดยลูกค้ารายได้หลักของ EVEANDBOY ยังคงเป็นคนไทย 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ก็มองเป็นโอกาสที่จะดึงดูดลูกค้าต่างชาติในสาขาที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยว