นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับความผันผวนและปัจจัยเสี่ยงนานัปการ ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้า สงครามภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและความเชื่อมั่นทางการค้า การแข่งขันด้านเทคโนโลยี AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความไม่แน่นอนของนโยบายด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้คาดการณ์ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพียงร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่น่ากังวลเมื่อพิจารณาจากศักยภาพของประเทศและการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน ที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคนที่ชัดเจน
เมื่อพิจารณาการเติบโตของ GDP ไทยย้อนหลัง พบว่าหลังจากขยายตัว 4.0% ในปี 2560 และ 4.2% ในปี 2561 อัตราการเติบโตได้ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่เคยเกินร้อยละ 3.0 อีกเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เศรษฐกิจไทยหดตัวอย่างรุนแรงและฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป
นายแสงชัย ชี้ว่า สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 35 ของ GDP ประเทศ และมีการจ้างงานถึงร้อยละ 70 ของการจ้างงานภาคเอกชนทั้งหมด SME ไทยกำลังเผชิญกับ "5 กับดัก" สำคัญ หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย
นายแสงชัย ย้ำว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยและยกระดับ SME จำเป็นต้องมีการ "กล้าเปลี่ยน" ใน 5 ด้านหลัก ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านเงินทุน ได้แก่
นอกจากนี้ รัฐบาลต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น (Local Economy) และเตรียมพร้อมยุทธศาสตร์รองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและการเปิดช่องทางการร้องเรียนธุรกิจผิดกฎหมาย เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เป็นธรรมและส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว