นางสาวสุดาทิพ เกียรติศรีชาติ กรรมการ กลุ่มบริษัท พัทยาฟู้ด ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงแบรนด์ “REMY” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาพรวมตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีมูลค่าราว 3.98 แสนตัน เติบโต 6% จากปีก่อน สะท้อนแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์ที่ขยายตัว
โดยข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่าปี 2564–2567 จำนวนแมวที่เลี้ยงในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 28% ต่อปี สูงกว่าอัตราการเติบโตของสุนัข 19% ต่อปี คาดว่าในปี 2568 จะมีสัตว์เลี้ยงที่มีเจ้าของรวมราว 5.38 ล้านตัว แบ่งเป็นสุนัขราว 3.45 ล้านตัว และแมว 1.93 ล้านตัว
โดยตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยกลับมาเติบโตอย่างชัดเจนหลังโควิด-19 มีปัจจัยหนุนหลายด้าน อาทิพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ผู้คนมีแนวโน้มเลี้ยงสัตว์มากขึ้นเพื่อเป็นเพื่อนคลายเหงาและตอบโจทย์ด้านจิตใจ อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเชิงสังคม เช่น แนวโน้มคนไม่แต่งงาน คู่รักไม่ต้องการมีบุตร รวมถึงกลุ่ม LGBTQ ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้กลายเป็นแรงส่งสำคัญให้ตลาดสัตว์เลี้ยงเติบโตทั้งในแง่ปริมาณสัตว์เลี้ยง
นอกจากนี้การเติบโตของช่องทางขายออนไลน์ (e-commerce) ยังมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เข้าถึงสินค้าได้สะดวกผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ขณะเดียวกันตลาดสัตว์เลี้ยงยังขยายครอบคลุมถึงสัตว์ประเภทอื่นๆ อย่าง Exotic Pet ที่เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น
เนื่องจากคนรุ่นใหม่เน้นอยู่คอนโด แต่สุนัขและแมว อาจจะไม่ตอบโจทย์เรื่องพื้นที่ทำให้หันมาเลี้ยง กระต่าย แกสบี้ ชิลชิลา เต่า งู นก ซึ่งได้รับการยอมรับมากขึ้นไม่ต้องแอบเลี้ยงเหมือนในอดีตและยังใช้พื้นที่น้อย บางคนเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงประเภทที่ 3 ที่เพิ่มจากสุนัขและแมว ทำให้ปัจจุบัน Exotic pet มีสัดส่วนถึง 15% ของตลาดรวมสัตว์เลี้ยง
ทั้งนี้ REMY เริ่มแตกไลน์ผลิตภัณฑ์สู่ตลาด Exotic pet ที่กำลังเติบโต โดยพัฒนาขนมเพื่อสุขภาพในรูปแบบ “Puree Jelly” สำหรับสัตว์ฟันแทะ ออกวางจำหน่ายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และได้รับกระแสตอบรับดี ด้วยราคาที่เข้าถึงง่าย ต่ำกว่าแบรนด์ต่างประเทศถึง 50% เพราะ REMY มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ส่งออกอยู่แล้ว จึงสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านแผนการรุกตลาดปีนี้ บริษัทจะใช้งบลงทุนราว 20 ล้านบาท พัฒนาโปรดักต์ใหม่และกิจกรรมทางการตลาด โดยเตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่รวม 30 รายการ ซึ่งภายในงาน Pet Expo Thailand 2025 ได้เปิดตัว 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ “Healthy Booster Treat” คือขนมสำหรับสุนัขและแมว
โดยพัฒนาสูตรร่วมกับทีมสัตวแพทย์ และนักโภชนาการสัตว์เลี้ยงจากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ เพื่อให้ได้สูตรที่ตอบโจทย์เรื่องสุขภาพเฉพาะด้าน และอาหารแมวสูตรใหม่ “Wet Cat Food Adult 7+” สำหรับแมวโตอายุ 7 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มเข้าสู่ช่วงสูงวัยและต้องการการดูแลเฉพาะด้าน พฤติกรรมการกินของแมวสูงวัย
ส่วนกลยุทธ์การทำตลาดกลุ่ม Exotic เริ่มวางรากฐานมาตั้งแต่ปี 2567 ด้วยการสร้างคอนเทนต์เฉพาะทางบนช่องทางออนไลน์ เน้นความรู้เชิงลึกจากทีมสัตวแพทย์ สื่อสารแนวคิด “Human Grade สู่ Human Touch” เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรักสัตว์ที่ต้องการคุณภาพใกล้เคียงกับอาหารคน พร้อมเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของแบรนด์ “ณฐ ณฐสิชณ์” นักแสดงและอินฟลูเอนเซอร์ชื่อดัง
เนื่องจากมีฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งในประเทศจีนและไต้หวัน นอกจากนี้ยังมีการทำแคมเปญวิทยุและกิจกรรมโรดโชว์ตามร้านเพ็ทช็อปทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี โดยเฉพาะคอนเทนต์เกี่ยวกับสัตว์แปลกที่มีกลุ่มผู้ชมให้ความสนใจจำนวนมาก
ด้านช่องทางการจำหน่ายบริษัทมีแผนขยายจากกลุ่มโรงพยาบาลสัตว์ และคลินิกสัตว์ที่มีอยู่เกือบ 200 สาขาทั่วประเทศ, กลุ่ม Modern Pet shop เช่น Pet’N Me, Pet Us, Pet Club และ ร้านค้า Pet Shop กว่า 300 ร้านค้าทั่วประเทศไปยังตลาดต่างประเทศโดยมุ่งเป้าไปที่ประเทศที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลก เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ UAE มาเลเซียเริ่มจากการโรดโชว์
ซึ่งคาดว่าจะช่วยดันการเติบโตในปีนี้ 100% จากปัจจุบันแบรนด์ REMY มีสัดส่วนรายได้จากอาหารแมว 55% อาหารสุนัข 35% และอาหารสัตว์ Exotic 15-20%
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,096 วันที่ 15 - 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2568