Siam Steak เบอร์เกอร์พันธุ์ไทย ปรับกลยุทธ์ บุกโรงพยาบาล - สถานที่ราชการ

นายสุภัค หมื่นนิกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีซี่ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล แฟรนไชส์ จำกัด ผู้บริหารร้านแฮมเบอร์เกอร์ “Siam Steak” และไส้กรอกพรีเมี่ยม “อีซี่ส์” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันธุรกิจแฟรนไชส์ไทยเริ่มมีการขยายสาขาออกจากห้างสรรพสินค้าไปยังคอมมูนิตี้มอลล์และแหล่งชุมชนมากขึ้น

เนื่องจากพื้นที่ในห้างสรรพสินค้ามีจำกัดและค่าเช่าสูง การขยายสาขาไปยังคอมมูนิตี้มอลล์และแหล่งชุมชน ช่วยให้ธุรกิจแฟรนไชส์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ได้มากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่อาศัยอยู่ในย่านชานเมือง

อีกปัจจัยที่สนับสนุนให้ธุรกิจแฟรนไชส์มีการเติบโตคือ คนรุ่นใหม่นิยมหางานเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ ส่งผลให้ธุรกิจแฟรนไชส์ที่มีโมเดลธุรกิจที่เรียบง่าย ใช้งานง่าย และสามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ

ประกอบกับกลุ่มทุนในต่างจังหวัดอย่างทายาทธุรกิจรุ่นที่ 2 ในต่างจังหวัดมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจ โดยนิยมลงทุนในคอมมูนิตี้มอลล์และซื้อแฟรนไชส์หลายแบรนด์มาลงทุน

ทั้งนี้จากปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ผลักดันให้ร้านแฮมเบอร์เกอร์ Siam Steak มีการปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยทีมงานได้เรียนรู้และนำบทเรียนจากวิกฤตต่างๆ มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ณ ปัจจุบันร้าน Siam Steak มีสาขารวมทั้งหมด 63 สาขา แบ่งเป็นร้านของบริษัท 50 สาขา และร้านแฟรนไชส์ 13 สาขา และมีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาในสิ้นปีนี้ โดยจะเน้นการเปิดสาขาในรูปแบบคีออสและร้านขนาดใหญ่ในทำเลที่เหมาะสม

นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาไปยังต่างจังหวัดและสถานที่ราชการ เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน ศาลายา และศาลอาญา เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น

 “ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทได้นำเสนอแนวทางการปรับปรุงธุรกิจโดยมุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนเมนูและราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้มากขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักคือการเพิ่มยอดขายเฉลี่ยต่อคน มากกว่าการขยายสาขาใหม่ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการเพิ่มประสิทธิภาพภายในร้านค้า เช่น การปรับเมนูให้มีตัวเลือกที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะเมนูทานเล่น อาทิ ไส้กรอกราคา 10 บาท หรือข้าวผัดอเมริกัน ช่วยตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทานอาหารว่าง หรืออาหารมื้อเบาๆ”

นอกจากนี้ การนำเมนูยอดนิยมกลับมาปรับปรุงใหม่และการสร้างโปรโมชั่นที่น่าสนใจก็เป็นการกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งใช้แคมเปญโปรโมชั่นที่น่าสนใจ เช่น เฟรนฟรายครึ่งกิโลกรัมราคา 99 บาท ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

อีกทั้งการใช้ช่องทางดิจิทัลในการสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าก็เป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมถึงเน้นการเพิ่มมูลค่าจากลูกค้าที่มีอยู่เดิม โดยการกระตุ้นให้ลูกค้าสั่งอาหารเพิ่มขึ้น หรือซื้อสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

อย่างไรก็ดีในช่วงครึ่งปีหลัง ยังต้องเฝ้าระวังสถานการณ์โดยรวม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินดิจิทัลวอลเล็ต การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท ซึ่งถือเป็นภาระที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการในภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเปราะบาง แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายลดเงินสมทบ 3% นาน 3 เดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อผลกำไรของผู้ประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนให้เห็นได้จากการที่บริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งประกาศตัวเลขการเติบโตที่ชะลอตัวลง

นายสุภัค กล่าวอีกว่า วันนี้เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งปัจจัยภายในประเทศ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจ ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ และปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้า สถานการณ์เศรษฐกิจโลก และการแข่งขันจากประเทศเพื่อนบ้าน

ขณะที่การลงทุนในประเทศเป็นการลงทุนแบบยั้งมือ เพราะยังไม่มั่นใจการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากยังไม่รู้ทิศทางอนาคตของพรรคการเมืองในประเทศ ส่วนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะเหนื่อยมาก เนื่องจากประเทศรอบข้างบ้านเราขยันกันหมด เช่น กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ ส่วนฝั่งประเทศจีนเห็นเราเป็นบ่อทองที่ว่าตักทองออกจากประเทศเราไปเข้าประเทศเขา ไม่ได้มีเงินหมุนเวียนในประเทศเรา

 “การนำดิจิทัลวอลเล็ตมาใช้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีผลกระทบต่อพฤติกรรมการบริโภคและการเงินของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม การขาดนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนและน่ากังวล”