การขับเคลื่อนธุรกิจด้วย AI ถูกกล่าวถึงไปทั่วโลก ล่าสุดภายในงาน AI REVOLUTION 2024 : TRANSFORMING THAILAND ECONOMY จัดโดยกรุงเทพธุรกิจ มีการบรรยายพิเศษในหัวข้อ "Showcase การนำนวัตกรรม AI มาใช้ประโยชน์ในโลกธุรกิจ" โดยผู้บริหารองค์กรชั้นนำ
ภก.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า เฮลท์แคร์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ต้องนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยและการรักษา ซึ่งต้องมีเฮลท์ดาต้าเป็นฐานข้อมูลข้อมูลสุขภาพ เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตสูง การนอนหลับ ซึ่งจะช่วยประมวลผล วินิจฉัย และการป้องกันโรคของผู้ป่วยได้ และมี Real time recommendations and Clinic decision support ที่จะสนับสนุนแพทย์ทางคลินิก รวมถึง Increased Efficiency ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลคนไข้ และ Drug Discovery and Development การพัฒนาและวิจัยยาในระดับโมเลกุล ที่สามารถนำข้อมูลไปใช้พัฒนายาใหม่
หากดูลำดับการใช้ AI ตั้งแต่อดีตจะพบว่าเริ่มมาตั้งแต่ปี 2010 และเริ่มมีบทบาทอย่างชัดเจนมากขึ้นในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่อง Precision Medicine การนำข้อมูลมาประมวลผล และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้ใช้ AI ช่วยวินิจฉัยและใช้ข้อมูลในการรักษาคนไข้มะเร็งมาแล้วเกือบ 4,000 ราย และยังใช้ร่วม CT Scan ตรวจหาโรค ใช้ในแผนกเอกซเรย์ แมมโมแกรมของผู้หญิง ทั้งนำ AI มาใช้ 100% เกี่ยวกับการอ่านฟิล์มเอกซเรย์ และแมมโมแกรม โดยมีแพทย์อ่านผลและวิเคราะห์ร่วมกัน ว่าเกิดความผิดปกติที่แท้จริงหรือไม่ เพื่อจะได้ค้นหาโรคและวางแผนแนวทางการรักษาต่อให้ทันท่วงที
"ในปี 2023 โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ใช้ AI อ่านฟิล์มเอกซเรย์ร่วมกับการวินิจฉัยของแพทย์กว่า 1 แสนเคส และแมมโมแกรมเกือบ 20,000 เคส ในอนาคตอันใกล้จะนำ AI เข้ามาใช้ร่วมกับ CT Scan ตรวจวินิจฉัยโรคต่าง ๆ เช่น เส้นเลือดโป่งพองในสมอง ก้อนเลือดอุดตันที่ปอด เส้นเลือดตีบในสมอง และโรคประหลาดต่างๆ ที่วินิจฉัยได้ยาก โดย AI สามารถลกเวลาการอ่านเอกซเรย์จาก 15 นาทีเหลือ 5 นาทีได้ ส่วน CT Scan จาก 10 นาที เหลือ 5 นาที สิ่งเหล่านี้จะส่งผลโดยตรงกับคุณภาพการรักษาและความปลอดภัยของคนไข้"
นอกจากนี้ เทคโนโลยี AI ยังช่วยวินิจฉัยติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ ทำงานแบบ real-time ร่วมกับการตรวจส่องกล้องลำไส้ใหญ่ ทั้งสามารถระบุประเภทของติ่งเนื้อได้ว่าเป็นชนิด neoplastic หรือ hyperplastic ในส่วนของห้องแล็บ AI ก็ช่วยวิเคราะห์ผลเลือด แจ้งเตือนโรค โดย AI ถือเป็นเครื่องมือที่เข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นในการวินิจฉัยให้การรักษาของแพทย์แม่นยำมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ด้านประสบการณ์ยังไม่สามารถมาแทนการวินิจฉัยของแพทย์ได้ เพราะ AI ต้องใช้ Data ในการประมวลผล จึงเป็นหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยแพทย์ดูแลรักษาคนไข้ได้เร็วขึ้น
นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด กล่าวว่า บริษัท เมทเธียร์ จำกัด มีพนักงาน 8,000 คน เป็นผู้ให้บริการ Smart Facility Management มีวิชั่นที่อยากจะทำให้ประเทศไทยดีขึ้น ขณะที่ไทยยังขาดแคลน AI ที่จะเข้าไปพัฒนาทุกภาคส่วน และจำเป็นจะต้องนำ AI เข้าไปสู่ภาคธุรกิจทุกเซ็กเตอร์ และสิ่งที่เมทเธียร์ทำคือการค้นหา AI ที่ดีที่สุดในการให้บริการ เปลี่ยนจาก Facility Management สู่ Smart Facility Management
ด้วยการนำระบบ METTHIER INTELLIGENT OPERATION CENTER (MIOC) มาให้บริการ 24 ชั่วโมง รวม AI - IoT Integration เข้าด้วยกันจนเกิดเป็นดาต้า แล้วนำ MIOC มาดูแลความปลอดภัยที่เรียกว่า AI INTRUSION DETECTION ยกตัวอย่างการใช้ 3D Digital Scan ที่สามารถแสกนทั้งตึกภายในระยะเวลาอย่างรวดเร็ว สามารถมอนิเตอร์ความปลอดภัยได้แบบเรียลไทม์ และในประเทศไทยสามารถให้บริการได้ทุกภาคธุรกิจ แม้ทั้งตึกมี รปภ. เพียงไม่กี่คนในห้องคอนโทรล ซึ่งไม่สามารถดู CCTV ได้หลายร้อยตัวในเวลาเดียวกัน แต่การใช้ซอฟต์แวร์ AI จะช่วยตรวจจับได้ว่ามีคนเดินผ่านกี่คน มีผู้ร้ายหรือคนที่ถูกแบล็กลิสต์ห้ามไม่ให้เข้าตึกหรือไม่ และสิ่งเหล่านี้ถูกบันทึกลงใน 3D Digital map ประสานงานร่วมกันกับพนักงานรักษาความปลอดภัย
"เรามีให้บริการกว่า 3-4 พันคนทั่วประเทศ สิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลงในการบริหารจัดการ คือ การใช้ระบบขับเคลื่อนไปพร้อมกับคน เมื่อศูนย์ MIOC ตรวจจับสิ่งผิดปกติได้ จะแจ้งเตือนไปยังศูนย์สั่งการ และดำเนินการในระดับการรักษาความปลอยภัยได้"
นอกจากนี้ยังมี AOTONOMOUS METTBOT หุ่นยนต์ทำความสะอาดพื้นที่ได้ด้วยตัวเอง โดยมี Radar Scan พื้นที่โดยรอบ 2 รอบ แล้วสร้างเป็น 3D Map และปฏิบัติหน้าที่ตามพื้นที่ที่วางไว้ ซึ่งถูกนำไปใช้งานตามศูนย์ราชการ คิง เพาเวอร์ และ สุวรรณภูมิ โดยใช้ร่วมกับการทำงานของแม่บ้าน สามารถสั่งการหุ่นยนต์ได้ กดปุ่มให้หุ่นยนต์ทำความสะอาดด้วยตัวเองได้ และปรเะเมินได้ว่าจะต้องทำความสะอาดวันละกี่ครั้ง ซึ่งสิ้นวันผู้ว่าจ้างที่ใช้บริการเมทเธียร์จะได้รับดาต้านำมาพัฒนาเป็น AI ในองค์กร"
ด้าน นายเทพพันธ์ อัศวะธนกุล รองกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสเติบโตในด้าน AI เป็นอย่างมาก ประกันภัยไทยวิวัฒน์เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการประกันความเสี่ยง สามารถนำเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้ โดยเทรนด์ในปี 2567 ที่เป็นภาพใหญ่ได้แก่ 1.Personalization 2.Q-Commerce 3.Generative Ai 4.Environmental และ 5.Uncertainties ทั้ง 5 เทรนด์ประกันภัยไทยวิวัฒน์นำมาปรับใช้กับธุรกิจทั้งหมด ปัจจุบันประกันภัยไทยวิวัฒน์มีธุรกิจอยู่ 4 ตัว คือ Motor, Health & Accident, Property และ Others เช่น การประกันเดินทาง ประกันสัตว์เลี้ยง
"สิ่งที่เราต้องการคือนำผลิตภัณฑ์ที่เรามีให้เข้าถึงและสามารถปกป้องความเสี่ยงให้กับทุกคนได้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยเข้าถึงการประกันภัยเพียง 1-2% เมื่อเทียบกับจีดีพี น้อยกว่าอัตราค่าเฉลี่ยของโลกในประเทศที่พัฒนาแล้ว หากคนไทยเข้าถึงประกันภัยได้มากขึ้นจะทำให้ประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น"
สำหรับสิ่งที่ประกันภัยไทยวิวัฒน์นำมาใช้ในการพัฒนาระบบที่สำคัญคือเรื่อง AI ทำให้ 5 ปีที่ผ่านมาเติบโตเป็นเท่าตัว เช่น การประกันรถยนต์ทั่วประเทศไทยที่ใช้ข้อมูลตอบโจทย์แบบรายบุคคลในการซื้อ การใช้งาน และการเคลม ทำให้อัตราการต่ออายุของผู้ใช้บริการสูงถึง 90% โดยใช้ AI สแกนภาพด้วยการแปลงภาพรถยนต์แล้ววิเคราะห์ก่อนซื้อประกันได้ผ่านออนไลน์ หรือหากเกิดความเสียหายต้องการเคลม AI จะแปลงข้อมูลและวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายในการซ่อมได้อย่างรวดเร็ว ลูกค้าจะรู้รายละเอียดได้ในระยะเวลาเพียง 5-10 นาที นอกจากนี้ยังมีระบบประกันปิดเปิดประกันตามชั่วโมงการใช้รถ ซึ่งช่วยประหยัดค่าประกันได้มากกว่า 80% รวมถึงระบบการจองที่จอดรถด้วย