“Mc x ขายหัวเราะ” ฉีกตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์

17 ส.ค. 2566 | 10:59 น.

“Mc x ขายหัวเราะ” เดินหน้ากลยุทธ์ Collaboration เปิดตัวคอลเลคชันใหม่ “Mc โอเวอร์” ผนวกแฟชั่นไลฟ์สไตล์-การ์ตูนไทย เท่ได้ สนุกด้วย

นายเจมส์ ริชาร์ด อมตวิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC องค์กรธุรกิจค้าปลีก ประเภทสินค้าแฟชั่นและสินค้าไลฟ์สไตล์ “แม็คยีนส์” เปิดเผยว่า แม็คยีนส์ผนึกความร่วมมือกับ “ขายหัวเราะ” ดำเนินกลยุทธ์คอลลาบอเรชั่น (Collaboration) “Mc x ขายหัวเราะ” เปิดตัวคอลเลกชั่น “Mc โอเวอร์”

“ความร่วมมือในครั้งนี้ทั้งแม็คยีนส์และขายหัวเราะ ต่างมีดีเอ็นเอที่ตรงกัน เริ่มจากทั้งสองแบรนด์เป็นแบรนด์ที่รู้จักและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ปีนี้ขายหัวเราะกำลังจะฉลองครบรอบครบ 50 ปีขณะที่แม็คยีนส์กำลังจะย่างเข้าปีที่ 49 และสิ่งที่เหมือนกันคือทั้งสองแบรนด์ต่างมีการปรับตัวและนำเสนอสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยแม็คยีนส์เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ รวมไปถึงการนำเสนอสินค้าและคอลเลกชั่นใหม่ๆ เช่นเดียวกับขายหัวเราะ ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาไปมากกว่าแค่หนังสือ”

“Mc x ขายหัวเราะ” ฉีกตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์

กลุ่มลูกค้าของแม็คยีนส์มีลูกค้าทุกเจเนอเรชั่น หากดูคาแรกเตอร์ของขายหัวเราะก็ตรงกับ Value Proposition หลักของแม็คยีนส์ ที่มีเป้าหมายตอบโจทย์การแต่งกายของทุกคน ทุกไลฟ์สไตล์ ให้คุณมั่นใจและสร้างสรรค์ลุคที่ดีที่สุดในแบบของตัวเอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายของแม็คยีนส์

สำหรับการคอลลาบอเรชั่นครั้งนี้ คือการนำคาแรกเตอร์การ์ตูนขายหัวเราะที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตามาเมคโอเวอร์ ไม่ว่าจะเป็น บ.ก.วิธิต หนุ่มใหญ่วัยทำงานที่ใส่สูทเนี๊ยบปรับลุคมาใส่เดนิม, โจรหนุ่มสุดเซอร์ลุคแบด ก็กลายเป็นโจรหนุ่มลุคทันสมัย, หนูหิ่นที่เคยสวมใส่เสื้อคอกระเช้าและผ้าถุงก็เปลี่ยนมาใส่เสื้อฮู้ดดี้ที่เป็นอีกหนึ่งไอเท็มยอดนิยมของแม็คยีนส์กับกางเกงขาสั้น ฯลฯ ทุกคาแรกเตอร์จะถูกเมคโอเวอร์เปลี่ยนลุคการแต่งตัวไปจนถึงลายเส้นเพื่อให้ทุกคาแรกเตอร์อินเทรนด์ ทันสมัย มั่นใจในแบบฉบับของตัวเอง   

“คอลเลกชั่น Mc โอเวอร์ ผลงานการคอลลาบอเรชั่นสุดพิเศษนี้ ถ่ายทอดจากเรื่องราวแอนิเมชั่น ที่มาของการเมค โอเวอร์ เริ่มจากมีอุกกาบาตตกมาโดนโลกต่างทำให้ผู้คนซึมเศร้า แต่งตัวไม่สดใส ฮีโร่ในการกอบกู้โลกในครั้งนี้คือ ศูนย์บัญชาการแม็คยีนส์ (Mc JEANS) ที่ส่งแสงพาทุกคนแปลงร่างออกมาเป็นเหล่าคาแรกเตอร์ขายหัวเราะในชุดสุดอินเทรนด์

สินค้าในคอลเลกชั่นสนุกไปกับไอเท็มยอดนิยม อาทิ เสื้อยืดผ้าคอตตอน 100% พิมพ์ลายขายหัวเราะ เพิ่มมิติด้วยเทคนิคการพิมพ์สีรับเบอร์ด้านหน้าและด้านหลัง, เสื้อยืดทรงโอเวอร์ไซส์เอาใจสายสตรีท ที่ตกแต่งด้วยกระเป๋าเดนิมลายขายหัวเราะด้านหน้าและด้านหลังให้ลุคเท่ๆ ที่อมยิ้มได้, เสื้อลายขวางแขนยาวสีขาว-ดำ กิมมิกของโจรมุมตึก ดีเทลการออกแบบให้แมทช์ลุคสนุกกว่าที่เคย เมื่อพับแขนเสื้อจะพบกับตัวหนังสือ “กลับตัวกลับใจ”

“Mc x ขายหัวเราะ” ฉีกตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์

รวมไปถึงตาของโจรที่แอบอยู่ด้านหลังเสื้อ ล้อเลียนโจรมุมตึกที่ต้องคอยแอบกลัวคนตามมาจับด้านหลัง, เสื้อรีสอร์ทเชิ้ตลายเกาะขายหัวเราะ คนติดเกาะ และฉลามที่ไล่กัดคนสตอรี่ในการ์ตูนขายหัวเราะ ที่สดใส ร่าเริง, เสื้อฮู้ดดี้อีกหนึ่งไอเท็มยอดนิยม ซ่อนความขี้เล่นด้วยกระเป๋าเสื้อที่มีตัวการ์ตูนโผล่ออกมา รวมไปถึงไอเท็มสุดลิมิเต็ดที่แฟนๆ ทั้งสองแบรนด์ห้ามพลาด กับเสื้อเดนิมแจ็คเก็ตทรงโอเวอร์ไซส์พิมพ์ลาย บ.ก.วิธิตที่ด้านหลังแอคเซสซอรี่พบกับหมวกเดนิมบั๊คเก็ต ไอเท็มที่รวบรวมซิกเนเจอร์ของทั้งสองแบรนด์ไว้ได้อย่างลงตัว

นางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือ Vithita Group (วิธิตากรุ๊ป) กล่าวว่า ปีนี้เป็นวาระที่ขายหัวเราะครบรอบ 50 ปี จึงต้องการมีแคมเปญพิเศษในช่วงครึ่งปีหลังของปี เพื่อส่งมอบความสุขให้กับคนไทย นำมาสู่การคอลลาบอเรชั่นกับแม็คยีนส์ ซึ่งถือเป็นแบรนด์ด้านของแฟชั่นไลฟ์สไตล์และการแต่งกายของไทยที่เป็นตำนาน

“Mc x ขายหัวเราะ” ฉีกตลาดแฟชั่นไลฟ์สไตล์

การร่วมมือกันของทั้งสองแบรนด์ในครั้งนี้ จึงเป็นการสร้างความสุขให้คนไทยในรูปแบบหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของความร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นการออกคอลเลกชั่น และทำการตลาดด้วยกัน โดยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ขายหัวเราะ จับคาแรกเตอร์มา Make Over หรือ “Mc Over” ที่ทำร่วมกับแม็คยีนส์ เพื่อให้เห็นลักษณะการแต่งตัวของคาแรกเตอร์แบบใหม่ เป็นความสุขแบบใหม่ๆ ที่ส่งมอบให้กับลูกค้า

“ทั้งสองแบรนด์ มีจุดร่วมที่ชัดเจนคือ เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับครองใจคนไทยเสมอมา และต่างฝ่ายต่างสร้างความสุขให้คนไทย ขายหัวเราะเป็นเรื่องของคอนเทนต์กับซอฟต์ พาวเวอร์ ด้านการ์ตูนคาแรกเตอร์ ขณะที่แม็คยีนส์ เป็นความสนุกทางด้านการแต่งกายเกี่ยวกับแฟชั่นไลฟ์สไตล์ สิ่งนี้เป็นจุดร่วมที่มีความเป็นตำนานของทั้งสองแบรนด์ มั่นใจเมื่อมาผนึกกันแล้ว น่าจะเป็นคอลเลกชั่นที่พิเศษและหาที่ไหนไม่ได้อีก”