ดัชนีความเชื่อมั่น ธ.ค.67 พุ่งต่อเนื่อง 3 เดือน หวังรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ

14 ม.ค. 2568 | 07:36 น.
อัปเดตล่าสุด :14 ม.ค. 2568 | 07:58 น.

ม.หอการค้าไทย ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 57.9 ดีขึ้นต่อเนื่อง 3 เดือนติด เหตุผู้บริโภคเชื่อมั่นขึ้น หวังรัฐเร่งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย  เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนธ.ค. 67 อยู่ที่ระดับ 57.9 เพิ่มจากระดับ 56.9 ในเดือนพฤศจิกายน โดยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้น และการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 ซึ่งเป็นระดับปกติ เนื่องจากผู้บริโภคยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลง จากสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทย และการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ผู้บริโภคมองว่าเศรษฐกิจในอนาคตจะค่อย ๆ กลับมาดีขึ้น จึงส่งผลให้ความเชื่อมั่นหรือความมั่นใจเริ่มกลับมา เพียงแต่ยังอยู่ภายใต้ความมั่นใจในปัจจุบันที่ยังต่ำกว่าระดับปกติ (ค่าปกติ = 100) โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ได้เริ่มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องกันในช่วง 3 เดือน ซึ่งจะเห็นได้จากพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในเทศกาลต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทั้งเทศกาลลอยกระทง เทศกาลปีใหม่ และวันเด็ก ซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้นจากปีก่อน

"แม้ตอนนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมองว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่ค่อยดี แต่ความเชื่อมั่นเริ่มกลับมาดีขึ้น จะเห็นได้จากการใช้จ่ายช่วงลอยกระทง, ปีใหม่, วันเด็ก และเรากำลังรอดูช่วงเทศกาลตรุษจีน ว่าจะดีต่อเนื่องหรือไม่"

นอกจากนี้ เริ่มเห็นความแตกต่างของพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภค เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งจะพบว่าผู้มีรายได้ปานกลาง ขึ้นไป กลับไม่กล้าจับจ่ายใช้สอย โดยจะเห็นได้จากยอดซื้อสินค้าคงทนโตชะลอลง เช่น บ้าน, รถยนต์ ในขณะที่ผู้ที่มีรายได้น้อย จะกล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลจากการได้รับเงินโอน 10,000 บาท จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล

"ตอนนี้ จะเห็นว่า เศรษฐกิจไทย เป็นแบบ K-shape กลับหัว คือ คนที่มีรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อย กล้าใช้จ่ายมากขึ้น อาจเป็นเพราะค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้น เงินถูกหมุนลงไปในโครงการ 10,000 บาท การท่องเที่ยวเริ่มกระจายความเจริญไปสู่ท้องถิ่นต่าง ๆ แต่คนที่ไม่กล้าใช้จ่าย กลับกลายเป็นกลุ่มคนรายได้ปานกลางขึ้นไป ดูจากการใช้จ่ายสินค้าคงทน เช่น บ้าน รถ ยังมีแนวโน้มติดลบ" นายธนวรรธน์ กล่าว

ทั้งนี้ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย ยังเชื่อว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 1/68 จะยังเติบโตได้แบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากผลของความไม่แน่นอนจากสงครามการค้า ภายใต้นโยบายประธานาธิบดีใหม่ของสหรัฐฯ, ผลกระทบจากกรณีรัสเซียถูกแซงชั่นจากสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อต้นทุนราคาพลังงานโลกให้สูงขึ้น และมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ รวมถึงผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวไทยของนักท่องเที่ยวจีน ภายหลังเกิดเหตุดาราจีนถูกลักพาตัว ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จะถึงนี้

ขณะเดียวกัน ต้องเช็คว่าบรรยากาศในช่วงตรุษจีนปีนี้ คนจีนจะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากน้อยแค่ไหน รัฐบาลไทย และ ททท. จะต้องเช็ค เพราะคนจีนเป็นแกนนำสำคัญในการมาท่องเที่ยวไทย ถ้าการท่องเที่ยวไทยมีอุปสรรค อาจทำให้แรงเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกจะแผ่วไปได้ อย่างไรก็ดี คาดหวังว่ามาตรการ Easy E-receipt ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนม.ค.-สิ้นเดือนก.พ.นี้ รวมทั้งเงิน 10,000 บาท ให้กับผู้สูงอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป รวมทั้งมาตรการ "คุณสู้ เราช่วย" จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยไตรมาส 1

ขณะเดียวกัน อยากเห็นมาตรการคูณสอง เข้ามาช่วยด้วย เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจไตรมาส 1 ดังนั้นไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 เป็นตัวชี้เศรษฐกิจปีนี้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ราว 3% บวก/ลบเล็กน้อย ณ ตอนนี้ ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นดีขึ้น หมายถึงเศรษฐกิจจะถูกเคลื่อนโดยการจับจ่ายใช้สอยที่จะดีขึ้นในไตรมาส 1 ถ้ามีมาตรการเสริม แต่สิ่งที่จะ confirm ว่าเศรษฐกิจฟื้นหรือไม่ ต้องดูจากสัญญาณของภาคธุรกิจด้วย นั่นคือ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย ซึ่งยังไม่ได้แสดงให้เห็นว่าดีขึ้น แต่แค่เริ่มติดลบน้อยลง โดยมองว่าแม้ปัจจุบันยังแย่

นอกจากนี้ อนาคตยังมีความหวังว่าจะบวกขึ้นสัญญาณเศรษฐกิจไทยในภาพรวมจะฟื้นหรือไม่ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะดีขึ้นหรือไม่ สามารถชี้วัดได้ในไตรมาส 1 จุดเปราะบางของเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง จะมีความเสี่ยงรุนแรง หรือจะเติบโตน้อยลงหรือไม่ สามารถเช็คได้จากไตรมาสที่ 2 จากปัจจัยสำคัญ 2 ตัว คือ สงครามการค้ารุนแรงหรือไม่ และการเมืองไทยจะมีปัญหาหรือไม่