หลังจาก ธนาคารโลก หรือ World Bank ยกเลิกการประเมินความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ หรือ “Ease of Doing Business” มาใช้เกณฑ์ใหม่ภายใต้ “โครงการ Business Ready : B-READY” เน้นการประเมินตามสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและการลงทุนทั่วโลก มาแทนที่โครงการ ซึ่งประกาศผลเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2567
เกณฑ์ใหม่ B-READY จะพิจารณาเพิ่มเติมใน 3 ประเด็นหลัก คือ Digital adoption (การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้) Environmental sustainability (ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม) และ Gender (เพศสภาพ)
โดยเกณฑ์ใหม่จะครอบคลุม 10 หัวข้อสำคัญที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของธุรกิจ ได้แก่ 1.การเริ่มต้นธุรกิจ 2. สถานที่ตั้งธุรกิจ 3. บริการสาธารณูปโภค 4.แรงงาน 5. บริการทางการเงิน 6.การค้าระหว่างประเทศ 7. ภาษี 8.การระงับข้อพิพาท 9. การแข่งขันในตลาด และ 10. การล้มละลายทางธุรกิจ
สำหรับแนวทางการประเมินที่ครอบคลุม 3 เสาหลัก(Pillar) ได้แก่: 1. กรอบการกำกับดูแล : ประเมินกฎระเบียบที่ธุรกิจต้องปฏิบัติตามตลอดวงจรชีวิต โดยพิจารณาว่ากฎระเบียบเหล่านั้นส่งเสริมความชัดเจน ความเป็นธรรม และความยั่งยืนของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ หรือเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมผู้ประกอบการโดยไม่จำเป็น ซึ่งอันดับ 1 ได้แก่ ฮังการี (78.23 คะแนน)
2. บริการสาธารณะ ประเมินสิ่งอำนวยความสะดวกที่รัฐบาลจัดให้เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมถึงสถาบันและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อกิจกรรมทางธุรกิจ โดยเน้นด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานรัฐ และความโปร่งใส ซึ่งอันดับ 1 คือ ประเทศ เอสโตเนีย (73.31 คะแนน)
3.ประสิทธิภาพการดำเนินงาน ประเมินความสะดวกในการปฏิบัติตามกรอบการกำกับดูแลและการใช้บริการสาธารณะอย่างมีประสิทธิผลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธุรกิจ ซึ่งอันดับ 1 ได้แก่ สิงคโปร์ (87.33 คะแนน)
นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบในหน่วยพัฒนาระบบราชการให้สอดรับกับเกณฑ์ใหม่ของธนาคารโลก ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ธนาคารโลกจะประกาศผลการประเมิน B-Ready อีกครั้งในกลุ่มที่ 2 ตุลาคม 2568 เพิ่มอีก 62 ประเทศ โดยประเทศไทยจะถูกประเมินในกลุ่มที่ 3 ที่จะประกาศผลใน ตุลาคมปี 2569 ร่วมกับอีก 72 ประเทศ
กพร. พบว่ากฎระเบียบหลายอย่างที่ภาครัฐออกมากลายเป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องนี้มาก โดยก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการด้านนี้เป็นลำดับแรก โดยมีศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ เป็นประธาน และ กพร.เป็นฝ่ายเลขานุการโดย กพร.ได้จัดตั้งคณะกรรมการ 4 คณะหลักเพื่อขับเคลื่อนงาน ประกอบด้วย
1.ด้านการจ้างงาน ดูแลทั้งแรงงานไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกแรงงานต่างชาติ (Expat) เช่น การปรับปรุงการรายงานตัว 90 วันที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ให้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาการนำเข้าทีมงานถ่ายทำภาพยนตร์จีน ที่ติดขัดจากมาตรการคัดกรองแรงงานที่เข้มงวดของกระทรวงแรงงาน ซึ่งเป็นผลมาจากปัญหาแรงงานจีนเทา โดยได้เจรจากับกระทรวงแรงงานเพื่อปรับปรุงมาตรการให้เหมาะสมแล้ว
2.ด้านการอนุมัติอนุญาตกิจการต่างๆ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมขนาดเล็ก ร้านอาหาร สปา เพื่อกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวสู่ผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นการตอบโจทย์นโยบาย Boost Tourism ของรัฐบาล โดยมุ่งลดขั้นตอนการอนุญาต ปรับเปลี่ยนเป็นการจดแจ้งแทนการขออนุญาตในบางกรณี และพัฒนาระบบ One Stop Service เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถยื่นขออนุญาตได้ ณ จุดเดียว
3.ด้านการค้าระหว่างประเทศ เน้นเรื่อง Transhipment หรือการขนส่งผ่านแดน เนื่องจากปัจจุบันไทยยังไม่มีกฎหมายรองรับโดยตรง ต้องใช้กฎหมายนำเข้า-ส่งออก ทำให้ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบและเอกสารมากมาย เช่น การเปิดตู้สินค้าเพื่อตรวจสอบ ทั้งที่เป็นเพียงการขนส่งผ่านท่าเรือไทยไปยังประเทศอื่น ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค
4.ด้านความยั่งยืน มุ่งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด โดยเฉพาะการสร้างระบบ One Stop Service เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการสนับสนุน Green Finance และ Green Loan เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับการปรับตัวของหน่วยงานราชการรองรับกับเกณฑ์ใหม่ของเวิลด์แบงก์ นางสาวอ้อนฟ้า ระบุว่า ต้องปรับในหลายมิติ ทั้งเรื่องแรงงาน ความเท่าเทียมทางเพศในการทำงาน และความยั่งยืน โดยเฉพาะการรับมือกับมาตรการระหว่างประเทศ เช่นCBAM หรือ Deforestation ที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่ผู้ประกอบการใหญ่จนถึงเกษตรกรรากหญ้า
“ภาครัฐต้องไม่เพียงแต่สร้างความตระหนักรู้ แต่ต้องช่วยให้ผู้ประกอบการและเกษตรกรปรับตัวให้ทัน โดยเฉพาะการปรับกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะมาตรการเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยไปยังตลาดสำคัญ เช่น สหภาพยุโรป” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว
เลขาธิการ ก.พ.ร. ระบุว่า ก.พ.ร.ต้องเข้าไปเป็นตัวเร่งกระตุ้นให้หน่วยงานต่างๆ ปรับตัว เพราะหลายหน่วยงานติดภารกิจประจำจนไม่ทันรู้การเปลี่ยนแปลง เราจึงต้องช่วยจับประเด็นและผลักดันผ่านกลไกต่างๆ ทั้ง Joint KPI และการตั้งคณะทำงานร่วม เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทำงานเชิงรุกมากขึ้น ไม่ใช่รอให้เกิดปัญหาแล้วค่อยแก้
ยกตัวอย่างมีการจัดตั้งกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเพื่อดูแลเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะ และกำลังจัดทำ Roadmap ที่ชัดเจนว่าหน่วยงานใดต้องดำเนินการอะไรบ้าง โดย ก.พ.ร.จะนำมากำหนดเป็น Joint KPI เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม
“ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น PM2.5 ขยะ หรือก๊าซเรือนกระจก ภาครัฐไม่สามารถแก้ไขได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนที่เป็นผู้ปล่อยมลพิษ ภาคประชาชน และภาคประชาสังคม ก.พ.ร.จึงมุ่งสร้างความร่วมมือและการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะการสร้างความตระหนักรู้ (Awareness) ให้ทุกภาคส่วนเข้าใจผลกระทบและร่วมกันหาทางออก” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว
อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญคือ การปรับตัวรับเกณฑ์การประเมินใหม่ด้านการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีรายละเอียดและความเข้มงวดมากขึ้นกว่าเกณฑ์ Ease of Doing Business แบบเดิม โดยครอบคลุมมิติใหม่ๆ แม้ผลการประเมินรอบแรกหลายประเทศจะไม่ผ่านเกณฑ์ แต่สิ่งสำคัญคือได้เห็นจุดอ่อนที่ต้องปรับปรุง เปรียบเสมือนกระจกสะท้อนให้เห็นตัวเอง เหมือนการตรวจเลือดที่ทำให้รู้ว่าค่าใดสูง ค่าใดต่ำ จะได้แก้ไขได้ถูกจุด
“ซึ่งในระยะยาว บริษัทข้ามชาติจะใช้ผลการประเมิน B-Ready นี้ประกอบการตัดสินใจลงทุน ว่าจะเลือกลงทุนในไทย เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย หรือประเทศใด” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว
ในขณะเดียวกัน ก.พ.ร.ยังผลักดันการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล โดยบูรณาการบริการดิจิทัลของหน่วยงานต่างๆ ที่แยกส่วนกันอยู่ในลักษณะไซโล มารวมไว้บนแพลตฟอร์มกลาง 2 ส่วน ได้แก่
1.Business Portal สำหรับการขออนุมัติอนุญาตของภาคธุรกิจ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถติดต่อราชการได้ในจุดเดียว ลดความซ้ำซ้อนในการยื่นเอกสาร และติดตามสถานะการดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง
2. Citizen Portal หรือทางรัฐ สำหรับบริการประชาชน ที่รวบรวมบริการตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เช่น การตรวจสอบและชำระค่าปรับจราจร การตรวจสอบสิทธิการรักษาพยาบาล และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย โดยประชาชนสามารถใช้ Single Sign-on เข้าถึงบริการต่างๆ ได้อย่างสะดวก
“ต้องเชื่อมโยงบริการให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่ายผ่านจุดเดียว เพื่อให้เกิดบริการที่ไร้รอยต่อ” นางสาวอ้อนฟ้า กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ วางแผงแล้ววันนี้ และในรูปแบบ E-Book ทาง https://www.ookbee.com/Shop/Magazine/THANSETTAKIJ